สำนักงานผู้ตรวจฯ 29 ต.ค.-“พล.อ.วิทวัส” ประธานผู้ตรวจฯ ปลื้มคณะกรรมการวัตถุอันตราย ยกเลิกใช้ 3 สารอันตราย ยึดผลกระทบต่อเกษตรกร แนะหามาตรการรองรับหาสารชีวภัณฑ์ทดแทน รัฐบาลสนับสนุนเครื่องจักรให้เกษตรกรยืมใช้กันในชุมชนเพื่อลดต้นทุนทางการเกษตร เชื่อไทย-สหรัฐเป็นมิตรที่ดี สามารถพูดคุยกันได้
พล.อ.วิทวัส รชตนันท์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติแบน 3 สารเคมีทางการเกษตร ว่า เป็นเรื่องที่ดีที่คณะกรรมการชุดดังกล่าวมีมติยกเลิกการใช้สารดังกล่าวในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ ซึ่งเร็วกว่าที่ผู้ตรวจการแผ่นดินมีข้อเสนอแนะ ส่วนการที่ยังมีเกษตรกรจำนวนหนึ่งยื่นเรื่องให้ศาลปกครองวินิจฉัย ถือเป็นสิทธิที่สามารถยื่นฟ้องได้ซึ่งในส่วนของผู้ตรวจฯ ได้ยึดในเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพ โดยสามารถไปดูผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงได้กับเกษตรกรที่ จ.หนองบัวลำพู และ จ.น่าน ที่มีเกษตรกรได้รับผลกระทบจากสารเคมีดังกล่าว
“เรื่องนี้ถือเป็นการทำตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจฯ ที่ยึดผลกระทบด้านสุขภาพเป็นหลัก ซึ่งอยากให้เกษตรกรหรือผู้ที่ยังคัดค้านคิดว่าถ้ามีคนหนึ่งคนใดในครอบครัวของเกษตรกรล้มป่วยลง เป็นมะเร็ง เกษตรกรครอบครัวนั้นก็จะประสบในเรื่องของค่าใช้จ่าย แรงงานในครอบครัวก็ต้องกลัวมาดูแล และครอบครัวนั้นก็จะประสบในเรื่องของความทุกข์ยาก ดังนั้นจึงอยากให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงเรื่องสิทธิ และความทุกข์ยาก “พล.อ.วิทวัส กล่าว
พล.อ.วิทวัส ยังเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหามาตรการรองรับ หลังยกเลิก 3 สาร ด้วยการหาสารชีวภัณฑ์ทดแทนหรือวิธีการอื่น ไม่ใช่มาพึ่งอยู่แต่ 3 สารเพียงอย่างเดียวในการกำจัดหญ้าและวัชพืช ส่วนกรมวิชาการเกษตรต้องไปสร้างตัวอย่าง ไปให้คำแนะนำ ว่ามีเครื่องมือเครื่องจักรกลทางการเกษตรอะไรที่รัฐจะสามารถสนับสนุนได้ โดยเฉพาะเครื่องมือขนาดใหญ่ที่รัฐควรจัดสรรให้ และให้เกษตรกรยืมกันใช้ในชุมชนหรือตำบล ไม่ใช่ให้เกษตรกรเป็นเจ้าของเครื่องมือเกษตรใหญ่ๆ ซึ่งในหลายประเทศก็ใช้วิธีการนี้เพื่อลดต้นทุนของเกษตรกร นอกจากนี้หน่วยทหารในพื้นที่ เช่น หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ทหารบก ก็สามารถเข้าไปช่วยเหลือ ประกอบกับรัฐอาจออกมาตรการลดภาษีเครื่องมือ เครื่องจักรทางการเกษตร
พล.อ.วิทวัส ยังกล่าวอีกว่า เชื่อว่าประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่คิดจะตอบโต้ทางการค้า หลังไทยแบน 3 สารเคมี แต่เท่าที่ติดตามก็เห็นว่าทางการสหรัฐกังวลเรื่องสารไกลโฟเซต ซึ่งสหรัฐใช้อยู่ เมื่อสหรัฐส่งสินค้าโดยเฉพาะองุ่นมาประเทศไทยหรือไม่ประเทศอื่นๆ หากมีสารดังกล่าวที่ตกค้างในองุ่นก็จะเกิดปัญหา ประเทศอื่นๆ ก็จะไม่นำเข้าได้ ซึ่งไทยและสหรัฐเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ก็เชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสามารถพูดคุยกันได้ ส่วนเรื่องจีเอสพีเชื่อว่าเป็นเรื่องของแรงงานมากกว่า อย่างไรก็ตามทางผู้ตรวจฯ ก็จะติดตามเรื่องของการใช้สารทดแทนและวิธีการอื่นๆ และการหาวัตถุทดแทนอื่น ที่จะทำอย่างไรให้เกษตรกรลดต้นทุน รวมถึงทำอย่างไรให้เพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้ ซึ่งเชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ที่ทำมาถือว่าทำได้ดี ซึ่งถ้าหากต่อไปยังเกิดปัญหาก็ขอให้พยายามแก้ไขอย่าได้หยุดยั้งเพียงแค่นี้.-สำนักข่าวไทย