นครปฐม 23 ต.ค.-หนุ่มแว่นลูกเศรษฐีดีกรีนักเรียนนอกกลับรถไม่สนกระบะ ก่อนถูกชน แต่ฟิวส์ขาดเรียกค่าเสียหาย 1 ล้าน แถมด่ากราดคู่กรณีแบบคนไร้สติว่าคนไทยด้อยพัฒนา ด้าน สตช. ตรวจสอบความผิดอาญา หากพบผิดจริงจ่อดำเนินคดี
ผู้ใช้เฟซบุ๊ก “โต้ เจ็ดโด้” โพสต์คลิปวิดีโอสุดร้อนแรงของวันนี้ (23 ต.ค.) พร้อมระบุแคปชั่นว่า “กลับรถไม่ดูรถ มาทางตรงเลยน่ะเสี่ย ลงมาด่ากุยับเลย ไม่ตะบันหน้าให้ก็บุญแล้ว” โดยในคลิปวิดีโอความยาว 5 นาที เผยให้เห็นชายคนหนึ่งสวมแว่น เสื้อสีขาว กางเกงยีนส์ รองเท้าแตะ เข้ามาต่อว่าผู้ถ่ายคลิป โดยมีหญิงสาวที่มาด้วยกันยกมือไหว้ขอโทษ
โดยเหตุเกิดขึ้นหลังมีการขับรถเฉี่ยวชนกันบนถนนพุทธมณฑลสาย 4 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม และชายคนดังกล่าวได้ต่อว่าด่าทอ ดูถูกเหยียดหยามคู่กรณีเหมือนคนไม่ได้สติ แถมมีการด่าเกินเลยไปยังนายกรัฐมนตรี พร้อมอ้างว่าตัวเองเป็นนักเรียนนอก เป็นลูกเศรษฐี มีเงินในบัญชี 1 ล้าน ไม่สนใจคนไทย และอายุแค่ 24 ปี แต่มีรถป้ายแดง นอกจากนี้ยังอวดอ้างสรรพคุณว่ารู้จักนายตำรวจ หลังจากนั้นชายคนดังกล่าวได้โทรศัพท์ไปที่บ้าน คาดว่าอาจคุยกับแม่ ซึ่งได้มีการตะคอกใส่คนในสายโทรศัพท์ว่า “มีโจรชนกูอ่ะ” พร้อมเดินผลักอกคู่กรณี จนทำให้ผู้ที่สัญจรไปมาต้องพยายามตะโกนมาห้ามปราม
ทั้งนี้ หญิงสาวคนดังกล่าวได้พยายามห้ามปรามหลายครั้ง และถามว่าจะรอประกันไหม แต่ชายคนดังกล่าวบอกว่าไม่รอ และจะเอารถเข้าศูนย์เลย เพราะตนเองมีเงิน จะเรียกค่าเสียหายจากคู่กรณี 1 ล้านบาท ก่อนที่จะเกลี้ยกล่อมให้นำรถซีวิคที่จอดอยู่กลางถนนชิดขอบทาง หลังจากนั้นหญิงสาวที่มาด้วยถามว่าจะขึ้นโรงพักอีกคดีไหม ซึ่งชายคนดังกล่าวบอกว่า “ขึ้น” และตนจะหนีคดี นอกจากนี้มีบางจังหวะพูดถึงสถาบันอย่างไม่เหมาะสม พร้อมกล่าวว่า “กูเกลียดประเทศไทย” และ “ถอนสัญชาติเลย” เพราะ “ไม่อยากอยู่ที่นี่ มีแต่คนชั้นต่ำ”
สำหรับผู้รับชมคลิปนี้มีมากกว่า 10 ล้านครั้ง ภายในเวลาเพียง 5 ชม. และมีการแชร์ออกไป 1.7 แสนครั้ง และมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเกิน 1 แสนรายการ ชนิดเรียกได้ว่านาทีต่อนาที โดยคอมเมนต์ของเหล่าชาวเฟซบุ๊ก ส่วนใหญ่ตำหนิพฤติกรรมที่ไม่มีจิตสำนึก บางส่วนมองว่าชายใส่แว่นอาจมีปัญหาทางจิต และบางส่วนก็สงสารหญิงสาวในคลิป รวมถึงชื่นชมผู้ถ่ายคลิปคู่กรณีที่ใจเย็น พูดจาด้วยความสุภาพ
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทยตรวจสอบไปยังชายใส่แว่นดังกล่าว เบื้องต้นพบว่าเป็นนักเรียนนอก จบจากฝรั่งเศส แถมเปิดเพจสอนภาษาฝรั่งเศส และที่สำคัญเบื้องต้นมีรายงานข่าวว่าชายคนดังกล่าวเป็นถึงลูกนักการทูตของประเทศหนึ่งในแถบยุโรป ซึ่งในเฟซบุ๊กของเจ้าตัวขณะนี้ปิดไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้มีภาพชายคนดังกล่าวใช้ชีวิตในฝรั่งเศสและฟินแลนด์ มีการโพสต์ภาพนั่งกับรถยี่ห้อเฟอร์รารี่อีกด้วย
นอกจากนี้ในโลกออนไลน์ยังมีการแฉพฤติกรรมเคยมีการขับรถปาดหน้ารถคู่กรณีรายอื่นเมื่้อวันศุกร์ แถมชูนิ้วกลางให้บนทางด่วน บริเวณแยกอโศก โดยชูนิ้วยาวนานกว่า 30 นาที ขณะรถติดบริเวณด่านอโศก แถมมีการกวักมือเรียกคู่กรณีให้ลงไปพูดคุย แต่คู่กรณีเห็นว่าเรื่องราวอาจบานปลาย เลยไม่สนใจ และชาวเน็ตยังเปิดเผยพฤติกรรมที่มีลักษณะคล้ายกัน หลังจากที่ชายคนดังกล่าว ซึ่งขณะนั้นใช้รถยนต์ฮอนด้า ซิตี้ ประสบอุบัติเหตุชนกับรถคู่กรณีบนถนนสายหนึ่้ง และหลังจากนั้นชายคนดังกล่าวได้เข้าไปขย่มรถเหมือนคนไม่ได้สติ ก่อนลงมาชี้หน้าคู่กรณี
ล่าสุดบริษัทเอกชนต้นสังกัดของชายคนดังกล่าว คือ กาซ่า ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับกรณีนี้ว่า “จากเหตุการณ์ตามคลิปที่โพสต์ลงสื่อ social media ต่างๆ ซึ่งมีพนักงานของบริษัท กาซ่า ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ใช้คำพูดและแสดงกิริยาก้าวร้าวรุนแรง รวมถึงหมิ่นประเทศไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์ ทางบริษัทฯ รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัทฯ ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว และมีมติเป็นเอกฉันท์ให้พนักงานดังกล่าวพ้นสภาพการเป็นพนักงานทันที”
ด้าน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 11.00 น. ที่ผ่านมา บริเวณจุดกลับรถด้านหน้าพุทธมณฑล โดยฝ่ายรถยนต์เก๋งขับมาจากฝั่งถนนเพชรเกษม มากลับรถบริเวณดังกล่าว ต่อมาฝ่ายรถยนต์กระบะได้ขับขี่มาในทิศทางตรงจากศาลายา แล้วมาถึงบริเวณจุดกลับรถ จึงได้เกิดการเฉี่ยวชนกัน แล้วมีการกระทบกระทั่งและพูดจาด่าว่ากัน ตามคลิปที่สื่อสังคมออนไลน์ได้นำเสนอไปแล้วนั้น
จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าคู่กรณีได้ใช้สิทธิกับบริษัทประกันภัยตกลงไกล่เกลี่ยและชดใช้ค่าเสียหายซ่อมรถที่เกิดจากการเกิดเฉี่ยวชนให้แก่กัน ส่วนประเด็นที่มีการด่าว่าหรือดูหมิ่นต้องมีการตรวจสอบว่าเป็นความผิดต่อส่วนตัว หรือเป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน หากเป็นความผิดต่อส่วนตัวแล้วฝ่ายที่เสียหายจะต้องมาร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน เจ้าหน้าที่รัฐสามารถกล่าวโทษได้
ส่วนกรณีชายคนดังกล่าวพูดลักษณะว่า “ตนเองอายุ 24 ปี เป็นลูกเศรษฐี มีรถป้ายแดงคันละล้านสอง มีทุกอย่างที่คู่กรณีไม่มี และตนไม่แคร์ตำรวจ เพราะตนรู้จักนายตำรวจใหญ่” นั้น แม้จะเป็นการพูดส่วนตัวของคู่กรณี ก็ไม่อยากให้มาพูดพาดพิงหรือส่งผลเสียต่อองค์กรอื่น และหากตรวจสอบแล้วพบว่าการกระทำจากเหตุการณ์ข้างต้นเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมายใดจะดำเนินคดีตามพยานหลักฐาน ไม่มีการยกเว้นว่ารู้จักผู้ใดหรือไม่ โดยที่ผ่านมามักมีการแอบอ้างลักษณะนี้เยอะ ทำให้ประชาชนมององค์กรตำรวจไม่ดี.-สำนักข่าวไทย