326 ทีม ทั่วประเทศ ระเบิดศึก คิง เพาเวอร์ คัพ 2019/20 รอบเพลย์ออฟ

กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ สานต่อฟุตบอลเยาวชน รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี รายการ “คิง เพาเวอร์ คัพ 2019/20” ภายใต้แนวคิด THE BEST U-15 TOURNAMENT ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ยังคงเน้นมอบโอกาสให้กับเยาวชนไทยได้มีเวทีแสดงความสามารถในด้านฟุตบอลเพื่อก้าวไปสู่เยาวชน  FOX HUNT โดยมุ่งเน้นไปที่ทีมโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการทั่วประเทศ ซึ่งปีนี้มีโรงเรียนต่างๆให้ความสนใจเข้าร่วมการแข่งขันจำนวนมากถึง 326 ทีม 


 

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 ที่ห้องปาริชาต โรงแรมโกลเด้นทิวลิป ซอฟเฟอรีน พระราม 9 ได้มีงานแถลงข่าวจับสลากประกบคู่การแข่งขันฟุตบอลในรอบเพลย์ออฟ (นอกรอบ) เพื่อหาตัวแทนทีมในแต่ละภูมิภาค ผ่านเข้ารอบไปเล่นในรอบภูมิภาคต่อไป แบ่งเป็น โซนกรุงเทพมหานคร 16 ทีม และ โซนภูมิภาคต่างๆ 12 ทีม รวมเป็น 88 ทีม โดยมี คุณกันธร เพิ่มทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดด้านกีฬา กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์, ดร.ชาญวิทย์ ผลชีวิน หัวหน้าทีมคัดเลือกคิง เพาเวอร์ คัพ 2019/20, ดร.สันติ ป่าหวาย อธิบดีกรมพลศึกษา ได้ให้เกียรติเข้าร่วมงานในครั้งนี้


 

สำหรับปีนี้มีจำนวนทีมโรงเรียนสมัครเข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 326 ทีม แบ่งเป็นทีมจากภาคเหนือ 43 ทีม, ภาคกลางและตะวันตก 50 ทีม, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(ตอนบน) 38 ทีม, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(ตอนล่าง) 59 ทีม, กรุงเทพมหานคร 39 ทีม, ภาคตะวันออกและปริมณฑล 50 ทีม และ ภาคใต้ 47 ทีม

 


คุณกันธร เพิ่มทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดด้านกีฬา กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ กล่าวว่า “กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ยังคงสานต่อเจตนารมณ์ของคุณวิชัย ศรีวัฒนประภา อดีตประธานกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ และสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ที่เน้นให้ความสำคัญและโอกาสด้านฟุตบอลกับเยาวชนทุกคนที่มีความสามารถพร้อมให้โอกาสรับทุนการศึกษาเข้าไปฝึกทักษะฟุตบอลอาชีพที่สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ประเทศอังกฤษ เป็นเวลา 2 ปีครึ่ง ถือว่าเยาวชนที่เข้าร่วมการแข่งขันในรายการนี้ จะได้รับโอกาสสำคัญที่ทีมแมวมองจากเลสเตอร์ ซิตี้ จะเดินทางมาชมการแข่งขันและคัดเลือกเยาวชนที่มีความสามารถทุกเกม การแข่งขัน  และอีกหนึ่งความพิเศษของรายการนี้ เรามีรางวัลทุนการศึกษามอบให้แก่ทีมที่เป็นแชมป์รายการนี้ มูลค่า 1 ล้านบาท และรางวัลบำรุงทีมอื่นๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะ 2 รางวัลสำคัญอย่าง รางวัลผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมและรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยม จะได้มีโอกาสเยี่ยมชมสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้แบบเอ็กซ์คลูซีพ อีกด้วย รวมมูลรางวัลกว่า 3 ล้านบาท”

 

“นอกจากนี้ รายการนี้ยังได้รับความร่วมมือจากกรมพละศึกษา นำโดย ดร.สันติ ป่าหวาย อธิบดีกรมพละศึกษา ส่งทีมบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านร่วมทำงานในการแข่งขันรายการนี้ด้วย พร้อมรับรองการแข่งขันรวมถึงกรรมการตัดสินที่ได้มาตรฐาน เป็นการร่วมกันพัฒนาในทุกมิติของฟุตบอล สร้างความเชื่อมั่นและมาตรฐานให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริงในรายการนี้”  กันธร กล่าวเพิ่มเติม 

 

สำหรับการแข่งขันรอบเพลย์ออฟ จะเริ่มในวันที่ 26-27 ตุลาคม นี้ โดยจะแบ่งสนามที่ใช้ในการแข่งขันออกเป็นแต่ละภูมิภาค ดังนี้

 

ภาคใต้ จ.สุราษฎร์ธานี

1. สนามฟุตบอลกรมทหารราบที่ 25  (สนาม1,2)

2. สนามฟุตบอลต่อสู้ป้องกันภัยทางอากาศ

3. สนามฟุตบอล ร.25 พัน 3

 

ภาคกลางและตะวันตก จ.นครปฐม

1. สนามฟุตบอลโรงเรียนกีฬาเทศบาลนครนครปฐม

2. สนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยศิลปากร

3. สนามฟุตบอลพระราชวังสนามจันทร์

4. สนามมหาวิทยาลัยราชภัฎนครปฐม

 

ภาคตะวันออกและปริมณฑล จ.ชลบุรี

สนามฟุตบอลเบียร์ช้าง บ้านบึง  (สนาม1-4)

 

กรุงเทพมหานคร

สนามซ้อม เอสซีจี เมืองทองฯ ยูไนเต็ด  (สนาม1,2)

 

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนบน จ.อุดรธานี

1. สนามฟุตบอลโรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร

2. สนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี

3. สนามฟุตบอลค่ายประจักษ์ศิลปาคม

4. สนามฟุตบอลกองบิน 23

 

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนล่าง จ.บุรีรัมย์

1. สนามช้างเทรนนิ่ง  (สนาม1,2)

2. สนามซ้อมเขากระโดง  (สนาม1,2)

 

ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่

1. สนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยนอร์ท เชียงใหม่  (สนาม1,2)

2. สนามฟุตบอลเทศบาลนครนครเชียงใหม่

3. สนามฟุตบอลโรงเรียนเทพศิรินทร์ เชียงใหม่

 

ในส่วนของเงินรางวัล ทีมชนะเลิศจะได้รับเงินรางวัล 1,000,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลอันทรงเกียรติ King Power Cup และเหรียญรางวัลไปครอง ส่วนรองชนะเลิศอันดับที่ 1 จะได้รับเงินรางวัล 300,000 บาท พร้อมเหรียญรางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 2 จะได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท รองชนะเลิศอันดับที่ 3 จะได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท ตามลำดับ

 

ทั้งนี้ การแข่งขันคิง เพาเวอร์ คัพ 2019/20 รอบภูมิภาค 88 ทีม จะเริ่มแข่งขันอย่างเป็นทางการ ดังนี้

 

• โซนภาคใต้ เริ่มแข่งขันวันที่ 5-8 พฤศจิกายน 2562 ณ สนามกีฬากลาง จ.สุราษฎร์ธานี

• โซนภาคกลางและภาคตะวันตก เริ่มแข่งขันวันที่ 12-15 พฤศจิกายน 2562 ณ สนามกีฬาโรงเรียนกีฬาเทศบาลนครนครปฐม

• โซนภาคตะวันออกและปริมณฑล เริ่มแข่งขันวันที่ 19-22 พฤศจิกายน 2562 ณ สนามชลบุรี สเตเดี้ยม

• โซนกรุงเทพมหานคร เริ่มแข่งขันวันที่ 26-29 พฤศจิกายน 2562 ณ สนามซ้อมเอสซีจี เมืองทองฯ

• โซนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนบน) เริ่มแข่งขันวันที่ 3-6 ธันวาคม 2562 ณ สนามมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตอุดรธานี

• โซนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนล่าง) เริ่มแข่งขันวันที่ 10-13 ธันวาคม 2562 ณ สนามเขากระโดง จ.บุรีรัมย์

• โซนภาคเหนือ เริ่มแข่งขันวันที่ 17-20 ธันวาคม 2562 ณ สนามอินทนิล ม.แม่โจ้

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สั่งย้ายครูแบทแมน

สั่งเด้ง “ครูแบทแมน” ถ่ายคลิปไม่เหมาะสมในโรงเรียน

กัน จอมพลัง บุก ก.ศึกษาธิการ ร้องเอาผิดครูชายสวมหน้ากากแบทแมน ถ่ายคลิปไม่เหมาะสมในโรงเรียน จ.อุทัยธานี ล่าสุดสั่งย้าย “ผอ.โรงเรียน-ครูแบทแมน” เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ด้าน “สส.ชาดา-กัน จอมพลัง” ลงพื้นที่ ขีดเส้นตายสอบเอาผิด

แม่อดีตครูสาว ยังติดใจสาเหตุ หลังพบศพในรถลานจอด รพ.

“น้องกิ๊ฟ” อดีตครูหายตัวไปเกือบ 1 เดือน พบอีกทีเป็นร่างไร้วิญญาณในรถยนต์บนลานจอดของโรงพยาบาล ญาติยังติดใจสาเหตุวอนตำรวจตรวจสอบกล้องวงจรปิด ไขข้อสงสัย

สั่งจำคุก “อัจฉริยะ” 2 เดือน ไม่รอลงอาญา คดีละเมิดอำนาจศาล

ศาลอาญาสั่งจำคุก “อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์” 2 เดือน ไม่รอลงอาญา ฐานละเมิดอำนาจศาล เผยแพร่เอกสารสรุปย่อคำพิพากษาต่อสื่อมวลชนโดยไม่ได้รับอนุญาต

ข่าวแนะนำ

อุตุฯ เผยไทยตอนบน อุณหภูมิสูงขึ้น-ใต้ฝนลดลง

กรมอุตุฯ เผยไทยตอนบน อุณหภูมิสูงขึ้น แต่ยังคงมีอากาศเย็นในตอนเช้าบริเวณภาคเหนือ ภาคอีสาน ส่วนภาคใต้มีฝนลดลง กรุงเทพฯ-ปริมณฑล อุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อย

เคลื่อน 18 ศพเหยื่อบัสมรณะ ถึงบ้านเกิด ญาติร่ำไห้อาลัย

เจ้าหน้าที่กู้ภัยเคลื่อนร่างผู้เสียชีวิต 18 ราย จากเหตุรถบัสพลิกคว่ำ ถึงวัดป่าวิเวกธรรมคุณ อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของญาติที่รอรับศพ

สำรวจจุดเกิดเหตุรถบัสมรณะ 18 ศพ

ทีมข่าวลงพื้นที่จุดเกิดเหตุรถบัสมรณะ 18 ศพ พบว่ารถคันดังกล่าวฝ่าฝืนคำสั่งไม่ยอมจอดพักรถและลงชื่อก่อนจุดเกิดเหตุ 1 กิโลเมตร ทำให้รถเกิดเบรกแตกไหลลงเขาจนเกิดโศกนาฏกรรม

นายกฯ เรียก “รมต.จิราพร-ผบ.ตร.” ถกปราบบุหรี่ไฟฟ้า

“แพทองธาร” นายกฯ เรียก “รมต.จิราพร-ผบ.ตร.” ประชุมปราบปราม “บุหรี่ไฟฟ้า” ขีดเส้น 30 วัน ดำเนินการให้เด็ดขาด สั่งเข้มห้ามขายใกล้สถานศึกษา ต้องจัดการผู้นำเข้า