กองบัญชาการกองทัพบก 11ต.ค.-ผบ.ทบ.บรรยายพิเศษ ย้ำประเทศไทยอยู่ได้ทุกวันนี้ด้วยพระปรีชาของพระมหากษัตริย์ รัฐธรรมนูญแก้ไขได้ แต่หมวด 1 แก้ไขไม่ได้ แผ่นดินนี้แบ่งแยกไม่ได้ ทหารไม่เลือกนาย พร้อมทำงานให้ทุกรัฐบาล มีความพยายามดิสเครดิตอำนาจตุลาการ พร้อมตั้งคำถาม “โจชัว หว่อง” มาพบคนในไทยหลายครั้ง แอบสมคบคิดอะไร
กองทัพบกจัดบรรยายพิเศษหัวข้อ “แผ่นดินของเราในมุมมองด้านความมั่นคง” โดยพล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้กล่าวบรรยาย และเชิญนักเรียน นิสิต นักศึกษา ครู อาจารย์ ผู้นำองค์กร ศิลปิน ดารา อาทิ นก สินจัย เปล่งพานิช นายฉัตรชัย เปล่งพานิช นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนจุฬาราชมนตรี ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ อดีตตุลาการศาล ตลอดจนสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศเข้าร่วมรับฟังที่หอประชุมกิตติขจร
ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า วันนี้(11 ต.ค.) เป็นการบรรยายครั้งแรกต่อหน้าประชาชน นิสิต นักศึกษาและสื่อมวลชน เพราะที่ผ่านมาเคยแต่บรรยายกับทหารเท่านั้น ตนเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง เพราะกลับบ้านฟังแต่ภรรยาพูด ไม่มีโอกาสได้พูดมากนัก แต่วันนี้เป็นโอกาสดีที่ภรรยาได้มาฟังบรรยายด้วย
พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวว่า บทบาททหารหลังการเลือกตั้ง ถอยห่างจากการเมือง ไม่มีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) มีแต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีคำถามว่าทำไมต้องมีทหาร คำตอบคือทหารถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มีหน้าที่ พิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ ดูแลประชาชน รักษาเอกราชอธิปไตย บูรณาการแห่งอาณาเขต ดูแลความมั่นคงของรัฐ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 52 ในรัฐธรรมนูญไทย และว่า “ถ้าคุณไม่ใช่คนที่เต็มใจและพร้อมที่จะจับอาวุธขึ้นมาเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติแล้วล่ะก็ ขอจงหยุดวิพากษ์วิจารณ์คนที่กำลังทำหน้าที่นั้นอยู่”
ผู้บัญชาการทหารบก ได้กล่าวถึงประวัติศาสตร์ชาติไทยตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี และการเสียแผ่นดินทั้ง 14 ครั้งในอดีต โดยระบุว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวเท่านั้นในภูมิภาคนี้ที่ยังเป็นเอกราช เพราะพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ไทยที่ปกป้องรักษาแผ่นดินเอาไว้ ซึ่งระหว่างนั้น ผู้บลัญชาการทหารบกได้เปิดวิดิทัศน์ให้ผู้เข้าร่วมฟังบรรยายรับชมเกี่ยวกับการต่อสู้ของบรรพบุรุษในอดีตที่ต่อสู้เพื่อปกปักรักษาแผ่นดินไทย
“ย้อนประวัติศาสตร์ชาติไทย เคยสูญเสียดินแดนบางส่วนหลายครั้งให้กับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศล่าอาณานิคมที่ขยายเข้ามาในภูมิภาค ต้องศึกษาประวัติศาสตร์ว่าประเทศไทยรอดจากประเทศที่ล่าอาณานิคมได้อย่างไร จะพบว่าในช่วงรัชกาลที่ 5 แม้จะถูกรุกรานหลายครั้ง แต่ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่รอดจากประเทศมหาอำนาจที่ล่าอาณานิคม พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถถ่วงดุลอำนาจ และรักษาดินแดนขวานทองของไทยไว้ได้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ชาวไทยยังมีประเทศอยู่จนถึงปัจจุบัน” พล.อ.อภิรัชต์ กล่าว
ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงเหตุผลของการตัดสินใจเข้ามารับราชการทหาร ว่า เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2515 หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวระบุว่า มีเฮลิคอปเตอร์ตก 2 ลำขณะบินปฎิบัติการกวาดล้างกลุ่มคอมมิวนิสต์ และต่อมาในวันที่ 26 ตุลาคมเฮลิคอปเตอร์ ถูกผู้ก่อการคอมมิวนิสต์ยิงตกและอยู่ในเขตอันตราย 11ชีวิต ขณะนั้นตนอายุ12 ปี และไม่ทราบว่าพล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ บิดาเป็น 1ใน11ชีวิตที่อยู่ในเฮลิคอปเตอร์ตกในป่าด้วย เพราะไม่มีเทคโนโลยีแจ้งให้ทราบข่าวเหมือนสมัยนี้ เมื่อบิดาได้รับการช่วยเหลือ ตนจึงถามตัวเองว่าทำไมพ่อต้องถูกยิง เหตุผลคือเพราะต้องปกป้องผืนแผ่นดินไทยจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่จังหวัดราชบุรี เพื่อให้ประเทศชาติสงบสุข
“จากนั้นเหตุการณ์ยังคงรุนแรง มีผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์เกือบร้อยบุกยึดหมู่บ้านและยิง 2 ราษฎร ขณะที่กลุ่มโจรภาคใต้ลักตัวครู เสียชีวิต 1 รอด1 ทำให้เห็นว่าประเทศไทยมีความไม่สงบมาเป็นเวลานานแล้ว หลายคนเคยไปร่วมรบ หลายคนเคยไปเข้าร่วมขบวนการคอมมิวนิสต์ บางคนกลับตัวกลับใจได้ บางคนกลับออกมาเป็นนักวิชาการ นักการเมืองและยังคงมีความเป็นคอมมิวนิสต์ที่ถูกฝังชิพไว้ในหัวอยู่” พล.อ.อภิรัชต์ กล่าว
จากนั้น ผู้บัญชาการทหารบกได้เปิดพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่10 ขณะทรงดำรงพระยศร้อยเอก พร้อมกล่าวว่า ในปี2519 สงครามคอมมิวนิสต์ ทรงเสด็จพื้นที่อ.ด่านซ้าย จ.เลย เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2519 เพื่อร่วมรบกับทหาร ทรงอยู่ในฐานปฏิบัติการ และทรงปฏิบัติพระองค์เหมือนทหารทั่วไป ทรงเยี่ยมประชาชน ทรงเป็นมิ่งขวัญ ทรงเป็นกำลังใจ ทรงรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับกำลังพลเหล่าทหารหาญ หลังจากนั้นยังมีอีกหลายยุทธการที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง กว่าพรรคคอมมิวนิสต์จะยอมวางอาวุธ ในสิ้นปี2531จึงสิ้นยุคคอมมิวนิสต์ ดังนั้น สถาบันพระมหากษัตริย์ ทหาร และประชาชนเป็นสิ่งที่แยกออกกันไม่ได้ ในอดีตพระมหากัษตริย์อยู่บนหลังช้าง ทหารอยู่รายล้อมรอบช้าง ทหารเหล่านั้นก็คือประชาชนที่เสียสละเข้ามาร่วมรบกับพระมหากษัตริย์
“สถานการณ์ความขัดแย้งในปัจจุบัน เกิดขึ้นทั่วโลก ส่วนหนึ่งมาจากการยุยงปลุกปั่นของคนภายในชาติเอง โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ฮ่องกง ที่มีนักการเมืองไทยเดินทางไปให้กำลังใจ และมีความเชื่อมโยงถึงกัน” พล.อ.อภิรัชต์กล่าวพร้อมเปิดภาพนายโจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวชาวฮ่องกง ที่ถ่ายคู่กับบุคคลหนึ่ง โดยทำภาพเป็นเพียงเงาของบุคคล พร้อมระบุว่า นายหว่องเดินทางมาประเทศไทยหลายครั้งเพื่อมาพบกับบุคคลบางคน การเดินทางมาพบพูดคุยกันนั้นไม่ได้สมคบคิดวางแผนอะไรใช่หรือไม่
จากนั้นผู้บัญชาการทหารบก ได้เล่าถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับพื้นที่จังวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ปี 2545 ที่รัฐบาลประกาศยุบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) และประกาศว่าไม่มีโจรผู้ก่อการร้าย มีแต่โจรกระจอก จากนั้นเหตุการณ์เริ่มรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เจ้าหน้าที่ได้น้อมนำพระราชดำรัสในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่เสมือนไฟส่องทางสำหรับผู้ปฎิบัติงานในพื้นที่ชายแดนจังหวัดภาคใต้ คือคำว่า “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา”
“ผมมีโอกาสทำงานในพื้นที่ภาคใต้ กองทัพบกได้ปรับผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจที่ 24 พื้นที่รอยต่อจ.ยะลาและนราธิวาส ทำงานในพื้นที่เป็นเวลา 1 ปี 2 เดือน ทราบปัญหาต่าง ๆ มากมาย ถือว่าผมโชคดีที่ได้กลับมาบ้าน แต่เพื่อนร่วมงาน รุ่นพี่ รุ่นน้องและลูกน้องผู้นำทางศาสนา รวมทั้งประชาชนหลายคนไม่มีโอกาสได้กลับมาบ้านเหมือนผม คำถามคือจะมีใครสักกี่คนเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น ต้องสับเปลี่ยนกำลังทุก 1 ปีเพื่อไม่ให้เกิดความเครียด ผมเองกลับมาแล้วยังนอนผวา เคยแม้กระทั่งกระโดดลงจากเตียง ไปถามภรรยาผมได้ ซึ่งคนอื่นก็เป็น เพราะเป็นการรบภายใต้สภาวะกดดัน” พล.อ.อภิรัชต์ กล่าว
ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า สถิติในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ปี 2547-2562 มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบ โดยแบ่งเป็นทหาร 587 คน ตำรวจ 396 คน ผู้นำท้องถิ่น 242 คน ครู 109 และประชาชน 2,731 คน เมื่อเปรียบเทียบกับสถิติ การเสียชีวิตของประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จากเหตุทั่วไปในช่วงเวลาเดียวกัน พบว่าเสียชีวิตจากอาชญากรรม 3,607 คน อุบัติเหตุ 3,497 คน เหตุความมั่นคง 2,731 คน ทั้งที่ตัวเลขการสูญเสียจากเหตุมั่นคงน้อยกว่าเหตุทั่วไป แต่กลับมีความพยายามของกลุ่มบุคคลที่อยากทำให้ดูเหมือนว่าเหตุการณ์รุนแรงและมีความสูญเสียมากมาย ส่วนเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่กรุงเทพมหานครเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ยืนยันฝ่ายความมั่นคงจะเร่งติดตามผู้ก่อเหตุ รวมถึงตรวจสอบว่ามีความเชื่อมโยงกับบุคคลใด และจะนำมาดำเนินคดีให้เร็วที่สุด
“วันนี้มีนักวิชาการพยายามยกประเด็นมาตรา 1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่บัญญัติว่าประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวกัน จะแบ่งแยกไม่ได้ ผมไม่ได้บอกว่ารัฐธรรมนูญแก้ไขไม่ได้ ผมไม่ยุ่งการเมือง แต่นี่เป็นเรื่องของฝ่ายความมั่นคง เพราะประเทศจะแบ่งแยกไม่ได้ แต่ถ้าแก้มาตรา 1 เท่ากับเป็นการแก้ไขในหมวดพระมหากษัตริย์ แบบนี้ทำไม่ได้ ทหารทุกคนเป็นหลักประกันแห่งความมั่นคง ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล จะเป็น นาย นางสาว ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ผมและทหารก็ทำงานให้ ไม่เลือกปฎิบัติ ไม่เลือกนาย เพราะทหารคือหลักของความมั่นคงในการปกป้องประชาธิปไตย แต่ตอนนี้ทหารตกเป็นเหยื่อ มองทหารเป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตย ซึ่งไม่ว่าจะทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ทุกคนคือประชาชน” พล.อ.อภิรัชต์ กล่าว
ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า ประเทศไทยประกอบด้วย 3 เสาหลัก คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ทำหน้าที่ออกกฎหมาย ฝ่ายบริหาร มีรัฐมนตรีทำหน้าที่บริหารประเทศและฝ่ายตุลาการ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญ แต่วันนี้มีความพยายามทำให้อำนาจตุลาการขาดความน่าเชื่อถือ
“ขอให้คิดให้ดีแล้วกันว่าทุกครั้งที่บ้านเมืองเกิดภัยพิบัติ เกิดวิกฤติ หัวหน้าพรรคการเมือง พรรคการเมืองหนีหมด ทิ้งลูกน้องติดคุก ขึ้นศาล คนที่ร่วมชุมนุมกลับไปจนเหมือนเดิม ขอเอ่ยชื่อนักการเมืองคนหนึ่งคือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งมีความสนิทสนมกันตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ ผมได้ถามว่าตอนหนีไปอยู่ต่างประเทศลำบากแค่ไหน กว่าจะกลับมาประเทศไทยได้ลำบากแค่ไหน สุดท้ายที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ ทุกคนไม่ต้องเชื่อ แต่ขอถามว่า ปัญหาเรื่องความมั่นคงจะให้ใครแก้ นักวิชาการหรืออาจารย์บางคนที่คบคิดกับพวกคอมมิวนิสต์เดิม ร่วมกับนักเรียนนอก ซ้ายจัดดัดจริต ที่ไปเรียนจากประเทศล่าอาณานิคม ชอบอ้างเลข 2475 และชอบอ้างว่า ตนเป็นนักประชาธิปไตย แต่มีวาทกรรมจาบจ้วง หรือจะเลือกกลุ่มนักการเมืองที่เลือกพวกพ้อง ไม่ห่วงผลประโยชน์ของชาติ รวมถึงยังมีนักการเมืองในภาคใต้ที่เกาะแข้งเกาะขาพ่อผมสมัยก่อน หรือจะเชื่อนักการเมืองที่เป็นเหมือนผึ้งแตกรังที่ลูกพี่ใหญ่หนีไปอยู่ต่างประเทศ หรือจะเชื่อนักธุรกิจ เชื่อคนที่ร่วมชุมนุมเผาบ้านเผาเมือง แต่ละคนมีพฤติกรรมล้มล้างชาติ สถาบัน ดังนั้น คนทั้ง 3 กลุ่มนี้ ที่ได้เอ่ยมานั้น ไม่ผิดหรอกที่จะมาเป็นผู้นำประเทศนี้ เพราะในอดีตก็เคยมี แต่ขอว่าถ้าไม่คิดล้มล้างสถาบัน ไม่คิดเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองประเทศ ก็สามารถมาบริหารประเทศได้ และผมในฐานะทหารยืนยันว่าจะอยู่เคียงข้าง” พล.อ.อภิรัชต์ กล่าว
ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ว่า เป็นแบบ Hybrid Warfare (ไฮบริด วอแฟร์) หรือสงครามลูกผสม คือสงครามที่ใช้วิธีการผสมผสานกันของเครื่องมือ ทั้งสงครามตามแบบและสงครามไม่ตามแบบ ที่ประกอบด้วยกองกำลังทหารปกติ กำลังทหารรบพิเศษ กองกำลังที่ไม่ใช่ทหาร อาทิ มวลชนที่ต่อต้านอำนาจรัฐ การสนับสนุนจากประชาชนในท้องถิ่น สงครามข้อมูลข่าวสาร และการโฆษณาชวนเชื่อ การทูต การโจมตี ด้านไซเบอร์ สงครามเศรษฐกิจ
“สุดท้ายที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ ทุกคนไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ แค่อยากขอถามว่าปัญหาเรื่องความมั่นคง ท่านจะให้ใครแก้ นักวิชาการหรืออาจารย์บางคนที่คบคิดกับพวกคอมมิวนิสต์เดิม แต่ขอเถอะครับถ้าไม่คิดล้มล้างสถาบัน ไม่คิดเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองประเทศ ผมและเพื่อนทหารตำรวจ จะยืนอยู่เคียงข้างประชาชน และขอให้นิสิตนักศึกษาจำเอาไว้ว่าทหาร ตำรวจคือลูกหลานของพวกท่าน ผมดีใจที่บรรยายจนจบและขอโทษที่ใช้เวลาเกิน” พล.อ.อภิรัชต์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าผู้บัญชาการทหารบกใช้เวลาบรรยายประมาณ 1.30น. จากนั้นเลขานุการจุฬาราชมนตรี ผู้แทนจุฬาราชมนตรี ได้ทำพิธีดูอาร์ให้พร จากนั้น ผู้บัญชาการทหารบกได้เดินทักทายนักเรียน ครู และทหาร รวมทั้งสื่อไทยและต่างชาติที่มาร่วมฟังการบรรยาย แต่ไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ก่อนกลับเข้าห้องทำงานทันที.-สำนักข่าวไทย
