ชัยภูมิ 8 ต.ค.-ขุดพบโครงกระดูกคล้ายมนุษย์โบราณนั่งกอดเข่าถือไห บริเวณกลางทุ่งนาในหมู่บ้านหนองตานา อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ ชาวบ้านที่ทราบข่าวแห่กราบไหว้ขอพรและโชคลาภ
ชาวบ้านหนองตานา ต.หนองขาม อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ ขุดบ่อน้ำบาดาลในที่นาชาวบ้าน แต่กลับพบโครงกระดูกที่คาดว่าน่าจะเป็นมนุษย์โบราณสมัยขอม อยู่ในบริเวณที่นาของนายเฮียง โขมชัยภูมิ อายุ 70 ปี จุดที่พบโครงกระดูกที่ตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร ชาวบ้านได้ช่วยกันนำโครงกระดูกขึ้นมาล้างทำความสะอาด โครงกระดูกอยู่ในสภาพนั่งกอดเข่า ในมือถือเครื่องปั้นดินเผาโบราณขนาดเล็ก ลักษณะคล้ายไห และยังพบว่ามีกำไรข้อมือที่เป็นเหมือนทองสัมฤทธิ์สมัยขอมโบราณในสภาพหักครึ่ง รวมทั้งฟันกรามของโครงกระดูกที่พบมีขนาดใหญ่กว่าคนในปัจจุบันมาก และฟันที่พบยังมีการอุดด้วยทองสัมฤทธิ์เก่าแก่ด้วย
ชาวบ้านที่พบโครงกระดูก เล่าว่า เจ้าของที่นาได้จ้างคนงานมาขุดดินบริเวณขอบบ่อบาดาล เพื่อสูบน้ำใส่นาข้าว ขณะขุดดินลึกลงไปประมาณ 2 เ มตร ถึงกับผงะ เพราะเจอโครงกระดูกคล้ายมนุษย์ พร้อมกับไหดินเผาและกำไรข้อมือในสภาพแตกหักจำนวนมาก จึงไปเรียกผู้ใหญ่บ้านให้มาช่วยตรวจดูว่าเป็นกระดูกของคนในยุคปัจจุบันหรือยุคโบราณ พอชาวบ้านทราบข่าวต่างพากันเดินทางมาดูเป็นจำนวนมาก
เบื้องต้นชาวบ้านเชื่อว่าน่าจะเป็นโครงกระดูกมนุษย์โบราณ อายุน่าจะหลายร้อยปี เพราะจุดที่นาชาวบ้านรายนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากจุดโบราณสถานปรางค์กู่เก่าแก่ของหมู่บ้านที่มีมานานสมัยขอมโบราณ ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงนำดอกไม้ ธูปเทียน มากราบไหว้ เพื่อขอพรเป็นสิริมงคล และขอโชคลาภไม่ขาดสาย
ชาวบ้านหญิงรายหนึ่งซึ่งมีที่นาติดกันต่อกับจุดที่พบโครงกระดูก เล่าว่า เวลาตนเองมานอนเฝ้านาข้าวช่วงกลางคืนทุกครั้งจะฝันเห็นชายร่างใหญ่คล้ายคนโบราณทุกครั้ง และมักเจอของโบราณบ่อยๆ ในบริเวณนี้ เช่น สากหิน ถ้วย ชามต่างๆ แต่ไม่มีใครกล้านำออกไปจากบริแวณนี้
ด้านนายสมยศ เรืองสุข ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 กล่าวว่า ตามคำบอกเล่าของปู่ย่าตายาย สมัยก่อนบริเวณนี้เคยเป็นชุมชนเก่าแก่สมัยขอมโบราณ ยุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ซึ่งปัจจุบันยังมีปรางค์กู่ เจดีย์เก่าแก่ที่มีร่องรอยแตกหักพังลงมาอยู่ท้ายหมู่บ้าน ใกล้กับจุดที่พบครั้งนี้ด้วย ที่ผ่านมาชาวบ้านก็ขุดเจอโครงกระดูกและเศษเครื่องปั้นดินเผาบ่อยๆ เบื้องต้นจะจัดให้ชาวบ้านช่วยกันจัดคนมาดูแล เพื่อไม่ให้ใครลงไปจับต้อง เพราะต้องรอประสานเจ้าหน้าที่ทางอำเภอ และเจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากร มาตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้ง.-สำนักข่าวไทย