กทม. 23 ก.ย.-เครือข่ายองค์กรงดเหล้า เปิดผลวิจัยอันตรายเหล้ามือสอง ทำร้ายเด็กเยาวชนไทย เผยความรุนแรงในครอบครัวนักดื่ม เป็นวงจรอันตรายพบภาวะเสี่ยงเพิ่มกว่า 3.3 เท่า หวั่นเด็กโตขึ้นสร้างปัญหาสังคม
วันนี้ (23ก.ย.) ที่เดอะฮอลล์บางกอก สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า(สคล.) เครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ร่วมกับกรมพินิจและคุ้มครองเด็ก กระทรวงยุติธรรม ศูนย์วิจัยปัญหาสุราและภาคีเครือข่าย ร่วมจัดเวทีเสวนาหัวข้อ “สถานการณ์ความเสี่ยงของเด็กและเยาวชนไทยในครอบครัวนักดื่ม”
นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กรมมีนโยบายติดตามดูแลช่วยเหลือเพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชน โดยได้ยกระดับการบริการให้คำปรึกษาแนะนำแก่ประชาชน ครอบครัวของเด็กและเยาวชนรวมทั้งเด็กและเยาวชนที่มีความเสี่ยงด้านพฤติกรรม ให้มีพฤติกรรมที่เหมาะสมและไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาผ่าน คลินิกให้คำปรึกษาเด็กและเยาวชนครอบครัวอบอุ่นทั้ง 77 จังหวัด ตนเห็นด้วยกับมาตรการเข้มเดิมของ คสช.ที่ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใกล้สถานศึกษาทั่วประเทศกว่า 40,000 จุด ซึ่งทุกหน่วยงานยังต้องบูรณาการเฝ้าระวังไม่ให้มีการฝ่าฝืน
ส่วนประเด็นการเปิดผับถึงตี 4 มองว่าต้องศึกษาอย่างละเอียดถึงผลดีผลเสีย ถ้ามีการแบ่งโซนบริหารจัดการได้ก็อาจนำนโยบายนี้มาใช้ได้
น.ส.รุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สสส. กล่าวว่า รายงานสถานการณ์การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ล่าสุดปี 2560 โดยศูนย์วิจัยปัญหาสุรา พบเด็กและเยาวชน อายุ 15-24 ปี หรือกลุ่มนักดื่มหน้าใหม่ จำนวน 2,282,523 คน หรือร้อยละ 23.91 หรือคิดเป็น1ใน 4 ของเยาวชนทั้งหมดที่ระบุว่าดื่มสุราในรอบ12เดือนที่ผ่านมา โดยนักดื่มประจำและนักดื่มหนักมีสัดส่วนลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่มีการดำเนินการใดๆ เพื่อป้องกัน ในวันข้างหน้าประเทศไทยอาจมีเยาวชนที่เป็นนักดื่มประจำและนักดื่มหนักเพิ่มมากขึ้น ข้อสำคัญประเทศไทยยังขาดนโยบายเปลี่ยนแปลงมาตรการควบคุมการผลิตเบียร์เชิงอุตสาหกรรมภายในประเทศ ที่น่ากังวลและเป็นอุปสรรคต่อการลดจำนวนกลุ่มเยาวชนที่เป็นนักดื่มหน้าใหม่ ขณะที่งานวิจัยของกรมพินิจฯพบว่ากลุ่มเด็กและเยาวชนเกือบครึ่ง ร้อยละ 40.8 มีกระทําความผิดภายใน 5 ชั่วโมงหลังดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อีกทั้งพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างความถี่ในการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับฐานความผิด มีความ สัมพันธ์กับการกระทําความผิดฐานอาวุธและวัตถุระเบิดอย่างมีนัยสําคัญ
ด้าน ภญ.อรทัย วลีวงศ์ สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุขได้นำเสนอผลงานงานวิจัย ภัยเหล้าที่เราไม่ได้ดื่มโดยระบุว่างานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาผลกระทบของการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อบุคคลรอบข้างผู้ดื่มในประเทศไทย (Thailand Alcohol’s Harm to Others project) ซึ่งศึกษาการได้รับผลกระทบมือสองหรือผลกระทบด้านลบจากการดื่มในมิติต่าง ๆ ของคนในครอบครัว ญาติ พี่น้อง เพื่อน และเพื่อนร่วมงานของผู้ดื่ม รวมทั้งผลกระทบจากการดื่มของคนแปลกหน้าในสังคมต่อบุคคลอื่นที่อยู่รอบข้าง พบว่าร้อยละ 25 รายงานว่าเด็กในความดูแลของตนเคยได้รับผลกระทบจากการดื่มแอลกฮอล์ของใครบางคนอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ถูกดุด่าอย่างรุนแรงร้อยละ 7.4 อยู่ในเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวร้อยละ 7.4 ถูกทอดทิ้ง/ถูกปล่อยให้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย ร้อยละ 3.5 ถูกตี ทำร้ายร่างกาย ร้อยละ 1.7
นอกจากนี้ยังพบว่าร้อยละ23ของเด็กและเยาวชนพักอาศัยอยู่ในครอบครัวไหนที่มีคนดื่มอย่างหนัก โดยเด็กในครอบครัวนี้จะมีโอกาสได้รับผลกระทบมากขึ้นเป็น 3.3 เท่าของครอบครัวที่ไม่มีคนดื่มหนักในบ้าน ซึ่งผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อเด็กและเยาวชนเหล่านี้ จัดเป็นรูปแบบหนึ่งของความรุนแรงต่อเด็กซึ่งส่งผลเสียต่อทั้งสุขภาพกายและใจ คุณภาพชีวิตและพัฒนาการของเด็ก ตลอดจนส่งผลต่อพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่าง ๆ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ปัญหาเหล่านี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของแอลกอฮอล์ที่ซ่อนอยู่ในระดับครอบครัวจากการดื่มของสมาชิกในครัวเรือนซึ่งจัดเป็นทั้งปัญหาสังคม ปัญหาสาธารณสุขและเกี่ยวข้องกับประเด็นสิทธิเด็ก ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการสร้างความตระหนักถึงความสำคัญแก่สังคมมากขึ้น
นางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า จากข้อมูลงานวิจัย ชี้ชัดว่า ครอบครัวที่มี นักดื่มนั้น จะผลิตซ้ำความรุนแรงจนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว จนกว่าจะถึงจุดแตกหักในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีนัยยะไม่ต่างจากใบอนุญาตให้เด็กๆใช้มันต่อไปหรือผลิตซ้ำได้ งานวิจัยชิ้นนี้จึงมีความชอบธรรมที่จะนำไปสู่นโยบายในเชิงป้องกัน เชิงเยียวยาอย่างเป็นระบบ เช่น 1.พ่อแม่หรือครอบครัวที่เป็นนักดื่มต้องเข้าถึงการบำบัดที่มีประสิทธิภาพ 2.การช่วยเหลือผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวต้องไม่เน้นการรักสถาบันครอบครัวแต่ต้องเน้นการปกป้องผู้ถูกกระทำ 3.องค์กรที่รับผิดชอบเยาวชนที่ผ่านความรุนแรงในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นระดับถูกกระทำ ระดับรู้เห็นหรือประจักษ์พยาน ต้องไม่ซ้ำเติมหรือผลิตซ้ำความรุนแรงกับเยาวชนโดยเด็ดขาด เพื่อปฎิบัติการเพื่อสื่อสารกับเยาวชนอย่างตรงไปตรงมาบนความเคารพในคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์.-สำนักข่าวไทย