กรุงเทพฯ 23 ก.ย. – พาณิชย์เตรียมพร้อมฟื้นการเจรจาเอฟทีเอ ไทย-อียู เปิดเวทีใหญ่เชิญทุกภาคส่วนระดมสมอง เพื่อทำกรอบเปิดเจรจารอบใหม่
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยภายหลังเปิดการสัมมนา “โอกาสและความท้าทายของไทยในการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป” ว่า การเปิดเวทีสัมมนาครั้งนี้ เพื่อเตรียมฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรป (อียู) แบ่งเป็น 2 ด้านหลัก คือ 1.ด้านการศึกษาวิจัย ได้มอบสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา ทำการศึกษาวิจัย วิเคราะห์ประโยชน์และผลกระทบจากการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู มีกำหนดเสร็จเดือนพฤศจิกายน 2562 และ 2.ด้านการหารือผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งให้ความสำคัญกับการรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการทั้งขนาดใหญ่ กลาง เล็ก เกษตรกร และภาคประชาสังคม เพื่อให้ได้ข้อมูลความเห็นและมุมมองของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่าง ๆ ให้รอบด้านและครบถ้วนมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม กรมฯ ได้เชิญหารือผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มต่าง ๆ ไปบ้างแล้ว แต่เป็นการหารือกลุ่มเล็ก ๆ การจัดสัมมนาวันนี้เป็นการจัดประชุมกลุ่มใหญ่ที่เชิญทุกภาคส่วนเข้าร่วมพร้อมกัน และยังมีแผนที่จะเดินสายไปจัดสัมมนารับฟังความเห็นผู้มีส่วนได้เสียภูมิภาคต่าง ๆ ของไทยเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน หลังจากนั้นจะรวบรวมผลการศึกษาและรับฟังความเห็นเสนอระดับนโยบาย เพื่อประกอบการพิจารณาตัดสินใจเรื่องการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู คาดว่าจะสอดคล้องกับช่วงเวลาที่อียูแต่งตั้งคณะกรรมาธิการยุโรปชุดใหม่ที่จะตัดสินใจหรือมีนโยบายเรื่องการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอกับไทย
ทั้งนี้ อียู ถือเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพและอำนาจซื้อสูง ประชากรกว่า 512 ล้านคน เป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 4 และนักลงทุนอันดับ 2 ของไทย การฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู หยุดชะงักตั้งแต่ปี 2557 จะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าการลงทุนของไทย โดยเฉพาะสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน สิ่งทอ ยางและผลิตภัณฑ์ อาหารและสินค้าเกษตรต่าง ๆ เป็นต้น ท่ามกลางภาวะที่เศรษฐกิจโลกมีความผันผวนและความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าปัจจุบัน รวมทั้งน่าจะช่วยเพิ่มแต้มต่อทางการแข่งขันของไทยที่ปัจจุบันหายไป จากการที่ประเทศอื่น ๆ เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ และบราซิล เป็นต้น มีเอฟทีเอกับอียูแล้ว แต่ไทยไม่มี เอฟทีเอที่อียูทำกับประเทศต่าง ๆ มีมาตรฐานสูง ทั้งในส่วนการเปิดตลาดสินค้า บริการและการลงทุน ตลอดจนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้าอื่น ๆ เช่น พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การแข่งขันทางการค้า ทรัพย์สินทางปัญญา การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ จึงต้องพิจารณาเตรียมความพร้อมและการช่วยเหลือเยียวยาอย่างรอบคอบ หากไทยจะฟื้นการเจรจา ซึ่งการสัมมนาครั้งนี้มีผู้สนใจจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ผู้ประกอบการ ภาคประชาสังคม และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมกว่า 300 คน ที่จะได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองด้านเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นประโยชน์กับการเตรียมการของไทย รวมถึงโอกาสและความท้าทายของการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู และจะศึกษาการจัดตั้งกองทุนเอฟทีเอที่มีกฎหมายรองรับเพื่อเข้ามาช่วยลดผลกระทบต่อการทำเอหทีเอทั้งระบบอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ปี 2561 ไทยและอียูมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 47,290.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออก 25,041.60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และไทยนำเข้า 22,249.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องบิน เครื่องร่อน อุปกรณ์การบิน เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรม-และเภสัชกรรม ในช่วงเดือนมกราคม – มิถุนายน 2562 ไทยและอียูมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 21,878.06 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออก 12,060.14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้า 9,817.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย