กรุงเทพฯ 21 ก.ย.-องค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย
หรือ MTJA ฉลอง 40 ปี
การลงนามบันทึกความเข้าใจ ระหว่างราชอาณาจักรไทยและมาเลเซียเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วม
เพื่อแสวงประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียม โดยพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย โชว์ความร่วมมือแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนอย่างสร้างสรรค์และเกิดประโยชน์
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า
ประเทศไทยและมาเลเซียเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์มาอย่างยาวนาน
มีการแบ่งปันความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมสังคมและประวัติศาสตร์ มานานหลายศตวรรษ ด้วยจิตวิญญาณของมิตรภาพและความร่วมมือซึ่งกันและกัน
“องค์กรร่วมมาเลเซีย-ไทยถือเป็นการเริ่มต้นภารกิจอันยิ่งใหญ่ระหว่างสองประเทศ
เพื่อปฏิบัติหน้าที่แทนรัฐบาลในการดูแล
สำรวจและแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วมบนพื้นฐานของการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมบนพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย
(Malaysia – Thailand Joint Development Area : MTJDA) บนพื้นที่ประมาณ
7,250 ตารางกิโลเมตร
รวมถึงการจัดการค่าใช้จ่ายและผลประโยชน์จากกิจกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วมฯ
ภายใต้เงื่อนไขของระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract) เป็นระยะเวลา
50 ปี ซึ่งรัฐบาลทั้งสองรับภาระและแบ่งปันโดยเท่าเทียมกันในสัดส่วน 50:50
นับได้ว่าเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ด้านปิโตรเลียมร่วมกันและแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติจนเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติบนเวทีระหว่างประเทศ
ซึ่งการจัดงานในวันนี้ยังได้รับเกียรติจาก นายดาโต๊ะ สรี โมฮัมเหม็ด อัซมิน อาลี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจของมาเลเซีย
มาเป็นประธานร่วมในการจัดงานดังกล่าวอีกด้วย
นายคุรุจิต นาครทรรพ ประธานกรรมการร่วมฝ่ายไทย
ในองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย กล่าวเพิ่มเติมว่า
พื้นที่ดังกล่าวมีความสำคัญและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทยเป็นอย่างมหาศาล
เพราะเป็นแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ ส่งเข้าประเทศไทยเฉลี่ย 509 ล้าน ลบ.
ฟุตต่อวัน คิดเป็นร้อยละ 16 ของการจัดหาก๊าซ
ของประเทศ (3,252 ล้าน ลบ.ฟุตต่อวัน) โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนคือส่วนแรกถูกส่งไปยังจังหวัดสงขลาและโรงไฟฟ้าจะนะจำนวน
163 ล้าน ลบ.ฟุต
เพื่อเป็นเชื้อเพลิงหลักในการขนส่งของภาคใต้ตอนล่างและส่งก๊าซให้กับสถานีบริการ NGV
12 แห่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา และปัตตานี
ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าจะนะ
ถือเป็นแหล่งความมั่นคงให้กับธุรกิจและครัวเรือนของภาคใต้ ส่วนที่สอง ถูกส่งไปยังจังหวัดระยองจำนวน 346 ล้าน ลบ.ฟุต
เพื่อเป็นวัตถุดิบสำหรับภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าของภาคกลางและภาคตะวันออก
ปัจจุบัน ระยะเวลาความร่วมมือนั้นผ่านไปแล้ว 40
ปี และกำลังจะก้าวเข้าสู่ทศวรรษสุดท้ายภายใต้ข้อตกลง ในปี 2572
จากการประเมินศักยภาพปิโตรเลียม พบว่าในพื้นที่ของ MTJA จะยังคงมีปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติที่สามารถสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ไทยและมาเลเซียได้อีกต่อไปไม่น้อยกว่า
20 ปี และ
ยังก่อให้เกิดประโยชน์ทางอ้อมสู่ประชาชน ชุมชน ในพื้นที่ใกล้เคียงของทั้งสองประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้วัตถุดิบและการจ้างแรงงาน
กระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง
และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่นานาประเทศในการแก้ไขปัญหาเรื่องเขตพื้นที่ทับซ้อนในทะเลอย่างเป็นรูปธรรม
ด้านนายราฮาหมัด บีวี ยู-ซอฟ
ประธานกรรมการร่วมฝ่ายมาเลเซียฯ กล่าวว่า องค์การร่วมไทย-มาเลเซีย
ได้ดำเนินงานมาถึง 40 ปี ผ่านความร่วมมือที่ดีจากประเทศไทย
โดยพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย
เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจกันการในแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่ตั้งอยู่บนไหล่ทวีปของทั้งสองประเทศ
ปัจจุบันบนพื้นที่พัฒนาร่วมนี้มีแหล่งผลิตปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ
จำนวน 3 แปลง ได้แก่ แปลง A-18
, แปลง B-17& C-19
และ B-17-01 ซึ่งมีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจหลายด้าน
ทั้งการสร้างงานให้กับผู้คนได้มากกว่า 50,000 ตำแหน่ง
สนับสนุนทุนวิจัยให้กับมหาวิทยาลัยทั้งในมาเลเซียและไทยจำนวน 16 โครงการมากกว่า 25
ล้านเหรียญสหรัฐ และข้อมูลในปี 2562
พบว่าพื้นที่ดังกล่าวสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติตามสัญญาได้เฉลี่ยประมาณ 1,200
ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ผลิตคอนเดนเสทเฉลี่ยประมาณ 16,700 บาร์เรลต่อวัน
รวมรายได้ที่เกิดขึ้นระหว่างสองประเทศประมาณ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
แต่นอกจากรายได้ที่เกิดขึ้นนี้ยังมี ‘ผลกำไรที่จับต้องไม่ได้‘
ที่เกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย คือการแลกเปลี่ยนความรู้การสร้างทักษะ
กำลังการผลิต และการเติบโตของฐานการวิจัยที่แข็งแกร่งในแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติ
หลังจากครบ 50 ปีของการลงนามบันทึกความเข้าใจในปี พ.ศ. 2572
ทั้งสองประเทศเชื่อมั่นว่าจะยังดำเนินการความร่วมมือต่อไปได้
ด้วยการขยายขอบเขตการทำงานที่มากขึ้น เพื่อยกระดับและสภาพความเป็นอยู่
วิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยในพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศ
สร้างการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่เหล่านี้ได้โดยตรง
และยังมีแนวโน้มที่จะขยายความร่วมมือเช่นเดียวกันนี้ไปยังประเทศอื่นๆ
ในภูมิภาคอาเซียนด้วยเช่นกัน”
นอกจากการพัฒนาด้านพลังงานแล้ว
ระหว่างสองประเทศยังมีกรอบการดำเนินงานด้านความยั่งยืน
ทั้งระยะสั้นและระยะยาวสำหรับสังคมและชุมชนในรูปแบบกองทุนที่จัดตั้งโดย MTJA
ที่ทำการวิจัยเทคโนโลยีและพลังงานสะอาด
สร้างการมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยหลังจากนี้จะเป็นการดำเนินงานในเชิงลึกมากขึ้น
สร้างการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการเรียนรู้และแบ่งปันความรู้
เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นต่อไปในอนาคตที่จะยึดมั่นในวิถีและแนวคิดเพื่อให้เติบโตต่อไปอย่างยั่งยืนเช่นกัน.-สำนักข่าวไทย
