กรุงเทพฯ 21 ส.ค. – “สนธิรัตน์” เตรียมตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษา เชิญ “ERS- คปพ.” เป็นที่ปรึกษา งานแรกเสนอ กพช.กลางเดือน ก.ย. “โรงไฟฟ้าชุมชน” ส่งเสริมพลังงานทดแทนบนแผนค่าไฟฟ้าจะต้องถูกกว่าแผนพีดีพี 2018 ส่วนปลาย ส.ค.ชี้ขาดนำเข้าแอลเอ็นจี กฟผ.หรือไม่
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังหารือกับแกนนำเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงาน (คปพ.) นำโดยนางสาวรสนา โตสิตระกูล นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ว่า กระทรวงฯ พร้อมเปิดรับฟังทุกความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายพลังงานจากทุก ๆ ฝ่าย โดยก่อนหน้านี้ได้รับฟังความเห็นจากกลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน(ERS) ซึ่งมีนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นแกนนำ โดยตนจะเชิญทั้ง 2 กลุ่มมาเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษา เพื่อช่วยขับเคลื่อนให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ เป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนไทยทุกคน และสอดรับกับนโยบายของรัฐบาล
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เรื่องที่เห็นร่วมกันกับ คปพ. คือ เรื่องส่งเสริมโรงไฟฟ้าพลังงานชุมชนที่มีการใช้พลังงานทดแทน เช่น พืชพลังงาน พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมเป็นเชื้อเพลิง โดยจะเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกลางเดือนกันยายนนี้ หลังจากนั้นคงต้องปรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาว หรือพีดีพี 2018 ให้สอดคล้อง โดยยืนยันว่าแม้จะพึ่งพิงพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น แต่ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยของประชาชนจะต้องลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับแผนพีดีพี 2018 ที่ค่าไฟฟ้ากำหนดจะไม่เกิน 3.68 บาท/หน่วย
ส่วนเรื่องการนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 1.5 ล้านตันนั้น รมว.พลังงาน กล่าวว่า จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่าจะอนุมัตินำเข้าหรือไม่ภายในเดือนสิงหาคมนี้ เพราะตามเป้าหมายของ กฟผ. คือ จะต้องเริ่มทยอยนำเข้าล็อตแรกเดือนกันยายนนี้ตามนโยบายเดิมที่ต้องการส่งเสริมการแข่งขันให้บุคคลที่สามนำเข้า (Third Party Access ) โดยสิ่งที่พิจารณาหลัก คือ หากสิ่งใดทำแล้วกระทบต่อค่าไฟฟ้าเอฟทีทำให้ประชาชนเดือดร้อน ก็จะขอทบทวน ขณะที่เป้าหมายของประเทศไทยนั้นจะเป็นศูนย์กลางการค้าการจำหน่ายแอลเอ็นจีในภูมิภาคอาเซียน
สำหรับการรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่ม คปพ.วันนี้ มีข้อเสนอแนะ เช่น การจัดการผลประโยชน์ปลายน้ำ ราคาน้ำมัน ราคาก๊าซในประเทศ การพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ข้อเสนอ ยุติการกระจายหุ้น บมจ. ปตท.น้ำมันและการค้าปลีกหรือ OR และเสนอให้การผลิตไฟฟ้าของประเทศเป็นไปตามกรอบรัฐธรรมนูญ ภาครัฐ โดยเฉพาะ กฟผ.ควรจะมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าร้อยละ 51 และขอให้ทบทวนสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โครงการโรงไฟฟ้าหินกองของ บมจ.ราชกรุ๊ป และบมจ.เนชั่นแนล เพาเวอร์ซัพพลาย เนื่องจากไม่มีการประมูลแข่งขันแต่อย่างใด
สำหรับกรณีการแต่งตั้งคณะกรรมการ กฟผ. ที่ประธาน และกรรมการลาออกรวม 2 คนนั้น อยู่ระหว่างการพิจารณา โดยจำเป็นต้องดูองค์ประกอบเดิม นโยบายที่จะขับเคลื่อนเพื่อสรรหาบุคคลมาทำงานให้สอดรับกับแนวทางที่กำหนดได้ ส่วนบอร์ดของ บมจ.ปตท.นั้น ไม่มีนโยบายไปรื้ออะไร แต่จะใช้วิธีประเมินการทำงานมากกว่า.-สำนักข่าวไทย