พล.อ.ประยุทธ์ จัดรายการคืนความสุขให้คนในชาติ


สำนักข่าวไทย 12 ส.ค.-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จัดรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ประจำวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2559

เป็นระยะเวลายาวนาน เกือบ 7 ทศวรรษ ที่ภาพความทรงจำ ที่คุ้นเคยของ ปวงชนชาวไทย คือ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้โดยเสด็จพระราชดำเนิน เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงเยี่ยมเยียนราษฎร ในพื้นที่ห่างไกลและถิ่นทุรกันดาร ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ อันเป็นที่มาของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ นานัปการ เพื่อความอยู่ดีกินดี ของพสกนิกร ทุกด้าน พระราชดำริสำคัญของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ล้วนสนองพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อยกฐานะความเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้น อาทิ ทรงริเริ่มโครงการให้ราษฎร โดยเฉพาะชาวนาในท้องถิ่นชนบท มีอาชีพเสริม โดยใช้เวลาว่างจากการทำนา ทำไร่ มาทำงาน “ศิลปาชีพ” เพื่อช่วยรักษางานช่างศิลป์ ไว้ในวิถีชีวิตชาวบ้าน และสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เป็นจุดเริ่มต้นของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และสินค้า OTOP ประชารัฐ ในปัจจุบัน ซึ่งพี่น้องประชาชนสามารถเข้าเยี่ยมชม ผลงานประดิษฐ์จากฝีมือลูกหลาน ชาวไร่ชาวนา ที่นอกจากจะเป็นการสืบสาน อนุรักษ์ ศิลปะของแผ่นดินให้คงอยู่แล้ว ยังสะท้อนถึงความรัก ความเมตตา ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ มีต่อพสกนิกรชาวไทย ผ่านงานศิลป์แขนงต่างๆ ได้ที่งาน “ศิลป์แผ่นดิน” และ “เรือนยอดบรมมังคลานุสรณีย์” ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม


อีกทั้ง ด้วยพระอัจฉริยภาพ ที่ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ ในการออกแบบฉลองพระองค์ “ชุดประจำชาติ” จำนวน 8 แบบ เมื่อครั้งโดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนิน ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ เมื่อ 50 กว่าปีที่ผ่านมา ปัจจุบันรู้จักกันในนาม “ชุดไทยพระราชนิยม” นอกจากนี้ ทรงมีพระราชวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ในการพลิกฟื้นศิลปะชั้นสูงของชาติ โดยทรงส่งเสริม ทั้งงานด้านศิลปะ วรรณศิลป์ และนาฏศิลป์ของไทย อาทิ “โขนพระราชทาน” ให้คืนกลับมาสู่ความนิยม และเป็นที่ภาคภูมิใจของคนไทย อีกครั้งหนึ่ง โดยฉลองพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ประยุกต์มาจากชุดไทยพระราชนิยมต้นแบบ และเครื่องโขนพระราชทานดังกล่าว พี่น้องประชาชนสามารถเข้าชมได้ ณ พิพิธภัณฑ์ผ้า ในพระบรมมหาราชวัง

ดังนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นอกจากจะทรงเป็น “แผ่นของแผ่นดิน” แล้ว พระองค์ยังทรงเป็น ประดุจศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ปกปักรักษางานศิลปะของชาติ สมความหมายแห่งพระราชสมัญญา “อัคราภิรักษศิลปิน” เนื่องในมหามงคล ทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา 12 สิงหาคม 2559 นี้ ผมขอเชิญชวนปวงพสกนิกร ร่วมกันน้อมเกล้าน้อมกระหม่อม ถวายพระพรชัยมงคล ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ช่วงเดือนสิงหาคมนี้ มีทัพนักกีฬาไทย 50 กว่าคน เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ “โอลิมปิก 2016” ณ ประเทบราซิล ปัจจุบัน สามารถคว้าเหรียญรางวัล นำความสุขมาสู่ปวงชนชาวไทยแล้ว หลายรายการ ในกีฬายกน้ำหนัก นับตั้งแต่ เหรียญทอง เหรียญแรก จาก “น้องแนน” โสภิตา ธนสาร ตามมาด้วยเหรียญทองและเหรียญเงินของ “น้องฝ้าย” สุกัญญา ศรีสุราช และ “น้องแต้ว” พิมศิริ ศิริแก้ว ในรายการเดียวกัน และ “ดุ่ย” สินธุ์เพชร กรวยทอง ที่ประสบความสำเร็จเช่นกัน ได้เหรียญทองแดงมาครอง แต่ก็ต้องสูญเสียคุณยาย “สุบิน” ไป ซึ่งผมก็ขอให้เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นแรงพลักดัน เป็นกำลังใจให้ “ดุ่ย – สินธุ์เพชร” มุ่งมั่น ฝึกฝนตนเอง ให้ประสบความสำเร็จสูงสุดต่อไป สมดังที่คุณยายสุบินตั้งความหวังไว้ สำหรับนักกีฬาประเภทอื่น ที่กำลังจะทยอยลงสู่สนามการแข่งขัน ผมขอเชิญพี่น้องชาวไทย “ร่วมแรงใจ เชียร์ทัพนักกีฬาไทย คว้าชัยในโอลิมปิก” โดยขอให้นักกีฬาทุกคน ซึ่งเป็นตัวแทนคนไทยทั้งประเทศ ได้แสดงออกถึง “น้ำใจนักกีฬา” และแสดงออกถึง “ความเป็นไทย” ที่งดงาม สู่สายตาชาวโลก ขอให้นักกีฬาทุกคน ได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ทำหน้าที่ของตนให้เต็มศักยภาพ มีสมาธิ มีสติ แล้วใช้ปัญญาเป็นเครื่องนำทางสู่ความสำเร็จ ผมเชื่อว่าทุกหัวใจของคนไทย จะเป็นกำลังใจให้ท่าน ไม่ว่าท่านอยู่อยู่ที่ใดในโลก ท่านไม่ได้ไปคนเดียว แต่จะมีทั้งกองเชียร์ติดตามเป็นกำลังใจท่าน ทั้งขอบสนาม ทั้งหน้าจอทีวี คืนนี้..หลังจบรายการนี้ เวลาประมาณ 3 ทุ่ม ผมขอเชิญชวนร่วมเป็นกำลังใจกับ “น้องณี” สุธิยา จิงเฉลิมมิตร ในการแข่งขัน “ยิงปืนเป้าบิน” ประเภทสกีต ซึ่งเป็นอีกความหวังหนึ่งของเรา ด้วยนะครับ

พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ การที่ชาติไทยของเรา จะสามารถดำรงความเป็นชาติ และมีขีดสามารถในการแข่งขัน ทัดเทียมนานาอารยประเทศ บนโลกที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงได้นั้น เราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับ “โครงสร้างพื้นฐานของชาติ” ที่หลายคนมักจะเข้าใจและคุ้นเคย กับโครงสร้างพื้นฐานที่เป็น “รูปธรรม” ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม ทางถนน ทางราง ทางน้ำ ทางทะเล และทางอากาศ หรือโครงสร้างด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ดิจิทัล และการสื่อสาร ด้านไฟฟ้า ด้านประปา และด้านพลังงาน ซึ่งทั้งหมดจำเป็นต้องได้รับการพัฒนา อย่างเป็นระบบ และควรบรรจุไว้ในยุทธศาสตร์ของชาติ ระยะยาว เนื่องจากเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ แต่ที่ผ่านมานั้น แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ถูกบิดเบือน ไม่ปฏิบัติตาม โดยถูกนำไปเป็นข้อต่อรองทางการเมือง ทางธุรกิจ แล้วอ้างว่าเป็นนโยบายพรรคในการหาเสียง เช่น ประชาชนพื้นที่ใดเลือกพรรคของตน เมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว โครงการพัฒนาต่างๆ ก็จะไปถึงพื้นที่เหล่านั้น ซึ่งขัดแย้งกับหลักธรรมภิบาล ในการบริหารบ้านเมือง ที่ผมเห็นว่ารัฐบาลควรจะบริหารงานเพื่อประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่เพื่อฐานเสียง สิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้อีกต่อไป ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และตลอด 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินการให้เป็นไปตามครรลองที่เหมาะสม เห็นแก่ผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยส่วนรวม ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน แอบแฝง เช่น ผลักดันโครงการทางหลวงพิเศษ หมายเลข 6 (บางปะอิน – นครราชสีมา) ที่ค้างคามา กว่า 20 ปี หรือรถไฟฟ้ามหานคร สายสีม่วง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อว่า “ฉลองรัชธรรม” ความหมายว่า เฉลิมฉลองพระราชาที่ปกครองโดยธรรม และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดการเดินรถฯ อย่างเป็นทางการ เมื่อวันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม ที่ผ่านมา / และอีกหลายโครงการที่เกิดจากการบริหารราชการแบบตรงไปตรงมาของรัฐบาลนี้


สำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่เป็น “นามธรรม” ที่ผมเห็นว่ามีความสำคัญอย่างมาก แต่หลายคนมักมองข้าม คือ โครงสร้างพื้นฐานทาง “จิตใจ” ที่หลอมรวมกันใน “ความเป็นคน” ไปจนถึง “ความเป็นชาติ” อาทิ ภาษา การศึกษา ศิลปะ หัตถกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม และสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นต้น อันเป็นที่มาของความผูกพัน ความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ เป็นพลังอำนาจของชาติ ที่แม้มองไม่เห็น แต่มีพลัง คล้ายอากาศที่มองไม่เห็น แต่เมื่อมีการรวมตัวกันและเคลื่อนไหว ก็จะเกิดเป็นพายุ อันทรงพลัง หากนำไปใช้ในทางที่ถูก เช่น พลังประชารัฐ และการปฏิรูปต่างๆ ก็จะเกิดคุณประโยชน์แก่ชุมชน สังคม และประเทศชาติโดยรวม แต่หากชี้นำไปใช้ในทางที่ผิด ก็จะเกิดผลในทางตรงกันข้าม เหมือนดังเช่น ก่อน 22 พ.ค. 57 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานที่เป็นนามธรรม จะรวมไปถึงระบบราชการ สวัสดิการ การให้บริการภาครัฐ ที่ต้องสามารถลดความเหลื่อมล้ำ ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ปราศจากการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยรวมแล้ว คือ การบริหารราชการอย่างมีธรรมาภิบาลนั่นเอง ซึ่งรัฐบาลนี้ ให้ความสำคัญอย่างมาก ตลอดเวลา 2 ปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งสร้างบรรยากาศและวางรากฐาน ด้วยปลูกฝังจิตสำนึก ผ่านกลไก “บวร” บ้าน-วัด-โรงเรียน และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และโครงการ “ประชารัฐ” ต่างๆ อันเป็นนโยบายของรัฐบาลเอง โดยไม่ปล่อยให้ “กระแสทุนนิยม บริโภคนิยม วัตถุนิยม” ครอบงำ กัดกร่อน จิตใจคนไทย ให้มีแต่ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เพราะวันนี้ ประเทศชาติต้องการความเสียสละ การเห็นแก่ประเทศชาติ ผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ดังนั้น การเสริมสร้างความ “มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” ของชาติ เราจำเป็นต้องคำนึงถึงโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งรูปธรรมและนามธรรม อย่างสมดุล มีภารกิจ ความท้าทายของชาติ และของโลก ในอนาคต ยังมีอีกมาก ผมจึงขอความร่วมมือ สามัคคี ปรองดอง ของคนทั้งชาติ ในการเดินหน้าประเทศ ในการปฏิรูปประเทศต่อไปครับ

ตัวอย่างที่ดี คือ วันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา “วันออกเสียงประชามติ” เกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่ ที่ผมอยากจะเรียกว่า เป็น “รัฐธรรมนูญฯ ฉบับประชาชน” เนื่องจาก “เสียงส่วนใหญ่” ให้การยอมรับ ทั้งรัฐธรรรมนูญและประเด็นคำถามพ่วง โดยมีพี่น้องประชาชน ได้ออกมาแสดง “พลังอันบริสุทธิ์” ด้วยการไปใช้สิทธิ์ในครั้งนี้ เกือบร้อยละ 60 ของจำนวนผู้มีสิทธิ์ออกเสียง ผมเห็นว่า “ความรักชาติและความสามัคคีของคนในชาติ” กลับคืนสู่สังคมไทยแล้ว อย่างค่อยเป็นค่อยไป และนับเป็นความตื่นตัวทางการเมืองของ “เจ้าของอำนาจ” อย่างน่าชื่นชม นอกจากนี้ ผมคิดว่า “เสียงบริสุทธิ์” ที่ปราศจากการชี้นำ หรืออิทธิผลทางการเมือง ย่อมสะท้อนถึงความต้องการ “ที่แท้จริง” ของประชาชน ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า การปฏิรูปประเทศเพื่ออนาคตของลูกหลาน ดังนั้น ผมขอให้ทุกฝ่ายเคารพการตัดสินใจของประชาชน และขอความร่วมมือกันเดินหน้าประเทศต่อไป อย่างไรก็ตาม “เสียงส่วนน้อย” ก็ยังเป็นเสียงที่มีคุณค่าตามหลักประชาธิปไตย ที่จะต้องได้รับการรับฟัง แล้วนำมาพิจารณา เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคม ได้อย่างปกติสุขครับ ทิศทางประเทศนับจากนี้ไป จะเป็นไปตาม Roadmap ของเรา ที่ คสช. ได้กำหนดไว้ โดย 3 เดือนจากนี้ไป คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจะต้องแก้ไขเพิ่มเติม ในบทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญฯ ให้สอดคล้องกับประเด็นคำถามพ่วง ตามความเห็นชอบจากประชาชน จากนั้น ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบความถูกต้อง ก่อนที่ผม ในฐานะนายกรัฐมนตรี จะได้นำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เพื่อทรงพิจารณาและลงพระปรมาภิไธยต่อไป โดยจะมีวันสำคัญที่จะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ชาติไทย อีก 2 วัน ได้แก่ (1) วันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับใหม่ แก่ประชาชนชาวไทย ประมาณเดือน พ.ย.59 และ (2) วัน เลือกตั้งทั่วไป ช่วงปลายปี 60 โดยผมขอให้เราทุกคน ลบเลือนอดีตที่เจ็บปวดและล้มเหลว ออกจากใจ เก็บไว้เป็นบทเรียน ย้ำเตือนใจ สำหรับการก้าวไปสู่อนาคตที่เริ่มชัดเจน สัมผัสได้ ที่รอเราอยู่ ซึ่งเราจะไขว่คว้าโอกาสนั้นได้มากเพียงใด ขึ้นอยู่กับความสามัคคีของคนในชาติ

ที่กล่าวมานั้น คือ ความชัดเจนและเชื่อถือได้ ที่รัฐบาลและ คสช. มีให้กับประชาชนชาวไทยเสมอมา นับตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาควบคุมสถานการณ์ สำหรับเพื่อนบ้าน พันธมิตร และประชาคมโลก ที่แสดงความเป็นห่วง เฝ้าติดตามสถานการณ์ และให้กำลังใจกับประเทศไทย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ผมได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เดินหน้าประชาสัมพันธ์ ทำความเข้าใจ ถึงความต้องการของประชาชนตามผลประชามติ เส้นทางสู่การเลือกตั้ง และแผนพัฒนเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ซึ่งเป็นแผนระยะสั้น ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศ ซึ่งเป็นแผนระยะยาว เพื่อความร่วมมือและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอันดี รวมทั้งสร้างความเชื่อมือแก่นักลงทุน ทั้งภายในและนอกประเทศด้วยครับ

อีก 1 ปีเศษ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไป และไปจนถึงการส่งมอบภาระหน้าที่ให้กับรัฐบาลใหม่ ผม รัฐบาล และ คสช. ยังคงต้องการความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจกันของคนในชาติ เหมือนที่เคยได้รับ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงต่างๆ นั้น ต้องการความเข้าใจและปรับตัวเข้าหากัน พูดจากันด้วยความจริงใจ ผมขอให้เชื่อมั่นและไว้วางใจว่า “รัฐบาลนี้จะเป็นรัฐบาลของคนไทยทั้งประเทศ” ที่มุ่งมั่นรักษาความมั่นคง เพื่อพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่งคั่ง อย่างยั่งยืน โดยจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ ให้บังเกิดประโยชน์สูงสุด แก่ประเทศชาติและประชาชนครับ

สุดท้ายนี้ เนื่องจากวันนี้เป็น “วันแม่แห่งชาติ” ผมขอให้ทุกครอบครัวคนไทย ได้แสวงหาความสุข พร้อมหน้ากัน พ่อ-แม่-ลูก ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หากต้องการของขวัญวันแม่สักชิ้น ผมขอแนะนำซื้อหาสินค้า “OTOP ประชารัฐ” โดยชาวกรุงเทพฯ หาซื้อได้ที่งาน “ศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ประชารัฐ ก้าวไกล ด้วยพระบารมี” ณ เมืองทองธานี สำหรับผู้ที่เดินทางไปต่างจังหวัด ก็แวะซื้อได้ที่ร้านค้าประชารัฐสุขใจ ในปั๊ม ปตท. หรือร้านค้าที่ร่วมรายการได้ ทั่วประเทศ ทั้งนี้ เป็นโครงการ “ช็อปช่วยชุมชน”ของรัฐบาล นอกจากจะเป็นการสนับสนุนสินค้าไทยและส่งเสริมศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านแล้ว ท่านยังสามารถนำใบเสร็จ มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้อีกด้วยครับ

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

EOD เร่งกู้ระเบิดตกค้าง-พิสูจน์กลิ่นศพทหารกัมพูชา

สุรินทร์ 4 ส.ค. – ตลอดทั้งวัน ชุด EOD ตรวจสอบพื้นที่ตามแนวปะทะ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ พบวัตถุระเบิดและลูกกระสุนปืนใหญ่ตกค้างรวมกว่า 140 ลูก ใน 34 จุด ขณะที่กลิ่นศพทหารกัมพูชา ยังไม่ส่งผลกระทบฝั่งไทย แต่ชาวบ้านในพื้นที่ยืนยันมีกลิ่นจริง ตลอดทั้งวัน ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หรือ EOD ของตำรวจตระเวนชายแดนที่ 21 และตำรวจภูธรพนมดงรัก รวมถึง ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ หรือ TMAC เข้าตรวจสอบพื้นที่ตามแนวปะทะใน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ หลังสถานการณ์ปะทะสงบลง โดยพบวัตถุระเบิดและลูกกระสุนปืนใหญ่ตกค้างรวมกว่า 140 ลูก ใน 34 จุด หัวหน้าชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดให้ข้อมูลว่า ระเบิดส่วนใหญ่ทำงานไปแล้ว เหลือเพียง 7 จุดที่ยังคงอยู่ระหว่างการเก็บกู้ แต่มีบางจุดที่เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าปฏิบัติงานได้ เนื่องจากอยู่ติดแนวชายแดน และอาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับทหารทั้ง 2 ฝ่ายที่ยังคงตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ อีกทั้งสภาพพื้นที่เป็นโคลนตม ทำให้บางจุดลูกระเบิดฝังลึกมาก ทำให้การเก็บกู้ยากลำบาก จึงทำได้เพียงล้อมรั้วแสดงสัญลักษณ์ให้ทราบ เพื่อความปลอดภัยและไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้ […]

มทภ.2 หวัง GBC ได้ข้อสรุปที่ดี ลั่นไม่ถอยกำลังทหาร

กองทัพบก 4 ส.ค. – แม่ทัพภาค 2 ลั่น ไม่ถอยกำลังทหาร หวังถก GBC ได้ข้อสรุปที่ดี แต่ยังคาดหวังอะไรไม่ได้หากสองประเทศยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกันก็จบง่าย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปชายแดนไทย-กัมพูชา (GBC) ที่ประเทศมาเลเซีย ว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าคุยเรื่องอะไรกัน แต่ก็คาดหวังว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี หาข้อตกลงร่วมกันให้ดีที่สุด ส่วนที่หลายฝ่ายมีความกังวลสถานการณ์ชายแดน หลังวันที่ 7 สิงหาคม จะมีความตึงเครียดนั้น พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของผู้นำทั้งสองประเทศ จะเจอกันตรงจุดไหน หากยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกัน ก็จบง่าย ซึ่งตอนนี้ยังคาดเดาอะไรไม่ได้ ว่าผลจะออกมาอย่างไร เมื่อถามว่า ประเด็นเรื่องการถอนกำลัง พล.ท.บุญสิน ยืนยันว่า “กองทัพไม่ถอย เพราะเรารุกในเขตพื้นที่อธิปไตยของเรา” สำหรับการดูแลชายแดนไทย-กัมพูชา กองทัพทั้งสองประเทศได้ปฏิบัติตามข้อตกลงการหยุดยิง ที่สองรัฐบาลได้พูดคุยกันไว้เพื่อความสงบสุขบริเวณชายแดน ซึ่งเราพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ยอมรับว่า มีปัญหาเรื่องโดรนไม่ทราบฝ่าย ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ได้บูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้น รวมถึงการติดตามกลุ่มบุคคลที่ทำตัวเป็นสายลับ และไส้ศึก […]

สำนักโฆษก กห. พาย้อนเหตุการณ์ยุคเขมรแดงปี 1979-1980

4 ส.ค.- เตือนความจำเขมร! สำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม โพสต์ย้อนเหตุการณ์ไทยช่วยเขมร ยุคเขมรแดง ปี 1979-1980 เปิดประตูรับคนเขมรเป็นที่พึ่งสุดท้าย-เปิดค่ายพักพิงแบบไม่ลังเล วันนี้(4 ส.ค.2568) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจสำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม ได้เผยแพร่ข้อมูลการช่วยเหลือของฝ่ายไทยที่มีต่อชาวกัมพูชาในยุคเขมรแดง โดยข้อความระบุว่า จากคนที่หนีตายสู่คนที่หันปากกระบอกปืนกลับมา” เมื่อ ‘เขมร’ ลืมทุกอย่างที่ไทยเคยมอบให้ ปี 𝟏𝟗𝟕𝟗… ชาวกัมพูชานับแสน นับล้าน วิ่งหนีตายจากนรกบนดินที่ชื่อว่า “เขมรแดง” ข้ามพรมแดนมายังไทย ในสภาพหมดเรี่ยวแรง หิวโหย และเกือบสิ้นลมหายใจ คนไทยเปิดประตูให้เขาพักพิง ตอนนั้นประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียง “เพื่อนบ้าน” แต่กลายเป็น “ที่พึ่งสุดท้าย” เราส่งอาหาร เราเปิดค่ายพักพิง เราช่วยเหลือทั้งในนามรัฐบาล องค์กรพัฒนาเอกชน และแม้แต่ชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ยอมแบ่งข้าวเพียงคำเดียวให้ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชา การอพยพที่ไม่มีแผนที่เริ่มตั้งแต่ต้นปี 𝟏𝟗𝟕𝟗 จนถึงต้นยุค 𝟏𝟗𝟖𝟎𝐬 มีชาวกัมพูชาจำนวนมหาศาล บางแหล่งบอกว่ารวมกันถึง 𝟔 แสนถึง 𝟖 แสนคน อพยพอย่างไร้ทิศทางบางคนเดินเท้าเป็นร้อยกิโลเมตรจากกลางประเทศกัมพูชา หลายคนไร้เอกสาร ไม่มีอาหาร ไม่มีเป้าหมาย […]

กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศ

ก.ต่างประเทศ 4 ส.ค.-กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา คาดแจงข้อมูลที่บิดเบือน หลังกัมพูชาปล่อยเฟคนิวส์ต่อเนื่อง ด้าน “มาริษ” ย้ำไทยไม่ได้เริ่มก่อน ยึดแก้ปัญหาผ่านกลไกทวิภาคี เรียกร้องกัมพูชายึดหลักสันติวิธี-จริงใจ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ร่วมกับ นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และ นางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ณ ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ โดยคาดว่าจะเป็นการชี้แจงข้อเท็จจริงภายหลังจากที่ฝ่ายกัมพูชามีการให้ข้อมูลที่บิดเบือนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ก่อนการบรรยาย นายมาริษ กล่าวเปิดโดยขอบคุณผู้ที่เข้าร่วมรับฟังการบรรยายในวันนี้ พร้อมชี้แจงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และท่าทีของไทยต่อกรณีดังกล่าว โดยตนตั้งใจจะแบ่งการบรรยายเป็น 2 ประเด็นหลัก คือ 1. การเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งไทยขอประท้วงต่อฝ่ายกัมพูชากรณีที่ละเมิดกฎหมายมนุษยชนและใช้ความรุนแรง โดยมีเป้าหมายแบบไม่เลือกเป้าและโจมตีไปที่พลเรือน รวมถึงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งขัดต่อหลักการของอนุสัญญาออตโตวา ในขณะที่ไทยปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด จึงหวังเป็นอย่างยิ่งให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างจริงใจด้วยเช่นกัน ภายใต้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ส่วนประเด็นที่ 2 คือการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ระหว่างวันที่ 4-7 สิงหาคม […]