จ่อขอหมายจับไม่ต่ำ 7 วางระเบิดและวางเพลิง

กทม.6 ส.ค.-    ตำรวจเร่งรวบหลักฐาน เพื่อขอศาลออกหมายจับคนร้ายลอบวางระเบิดป่วนและวางเพลิงเมื่อ 1-2 สิงหาคม ไม่ต่ำ 7 คน ใน 3 จุดเกิดเหตุ


ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนเพื่อคลี่คลายคดีลอบวางระเบิดในพื้นที่กรุงเทพฯ,จังหวัดนนทบุรีและวางเพลิง เมื่อวันที่ 1 และ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา ชุดทำคดียังคงเร่งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อยื่นขอศาลออกหมายจับผู้ก่อเหตุ โดยมีรายงานว่า ตำรวจสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกลุ่มคนร้ายได้ทั้งหมดแล้ว ทั้งกลุ่มก่อเหตุ ผู้สนับสนุน และนายทุนสั่งการที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน 


สำหรับข้อมูลการสืบสวนกลุ่มผู้ก่อเหตุ ตำรวจพบว่ามีจำนวน 15 คน ก่อเหตุทั้งหมด 14 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่ง 3 จุด คือ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และห้างแพลตตินัม ซึ่งไม่ปรากฎเป็นข่าวก่อนหน้านี้  โดยตำรวจสามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้ล่าสุดว่าเป็นการวางระเบิดเพลิงเช่นเดียวกับที่ตลาดไซด์วอร์ค ประตูน้ำ แต่เหตุเพลิงไหม้ไม่รุนแรงมากนัก และเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงได้อย่างรวดเร็ว 

พฤติการณ์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุที่ตลาดไซด์วอร์ค ตำรวจตรวจสอบพบว่า เดินทางเข้ามากรุงเทพมหานคร 4 คน ก่อนไปพักอาศัยอยู่ย่านซอยรามคำแหง 65 วันเกิดเหตุทั้งหมด นั่งเรือโดยสารจากท่าเรือย่านรามคำแหง มาลงที่ท่าเรือประตูน้ำ และลงมือก่อเหตุ จากนั้นได้เรียกรถแท็กซี่ไปส่งที่ขนส่งสายใต้ใหม่ทันที


ส่วนกลุ่มผู้ก่อเหตุในจุดอื่น หลายจุดตำรวจพบเส้นทางการก่อเหตุ ในลักษณะเดียวกัน แต่ยังไม่สามารถยืนยันว่า ทั้งหมดรู้จักกันหรือไม่ โดยมีการเดินทางมาจากอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เข้ามาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ก่อนเกิดเหตุประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อศึกษาเส้นทาง ดูลาดเลาและวางแผนก่อเหตุ โดยไม่มีการนำระเบิดที่ใช้ก่อเหตุติดตัวมาด้วย แต่มานัดรับในพื้นที่กรุงเทพมหานคร

ในส่วนของนายลูไซ แซแง และนายวิลดัน มาหะ ผู้ต้องสงสัยลอบวางระเบิดหน้าป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ถูกควบคุมตัวโดยใช้กฎหมายพิเศษ ด้านความมั่นคง อยู่ที่จังหวัดยะลา ตำรวจพบว่า ก่อนเกิดเหตุเดินทางออกนอกประเทศ ทางด่านนราธิวาส ก่อนเดินทางกลับเข้าประเทศ และเดินทางมาก่อเหตุในกรุงเทพมหานคร 

เบื้องต้นนายลูไซและนายวิลดัน ให้การรับสารภาพว่าก่อเหตุจริง แต่ไม่ทราบข้อมูลในจุดอื่น ซึ่งตำรวจไม่ปักใจเชื่อ เพราะจากการตรวจสอบประวัติทั้ง 2 คน มีหมายจับคดีความมั่นคง เป็นบุคคลที่อยู่ในบัญชีแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ด้วย

มีรายงานเพิ่มเติมอีกว่า จากการขยายผลสอบปากคำ ได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยมาสอบปากคำเพิ่มเติมอีก 2 คน  มีความสัมพันธ์เป็นพี่เขย ของ 1 ในผู้ต้องสงสัยลอบวางระเบิดหน้าป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ซึ่งจากการสืบสวนพบว่าผู้ต้องสงสัย  1 ใน 2 คนล่าสุด ทำหน้าที่ส่งระเบิดให้ผู้ปฏิบัติการทั้ง 3 คน  ชื่อ”อาแบ”  ทำหน้าที่สำรวจพื้นที่เป้าหมายทำงานให้ผู้ปฏิบัติการทั้ง 3 คน ซึ่งตำรวจได้ข้อมูลจากการสอบปากคำนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งที่ให้ข้อมูล ว่า นายอาแบ เป็นรุ่นพี่ ไหว้วานให้ขับขี่รถจักรยายนต์พามาที่ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ    ซึ่งตำรวจสามารถติดตามตัวนายอาแบ และควบคุมไปสอบสวนเมื่อสามวันก่อน

สรุปข้อมูลการก่อเหตุระเบิดกรุงเทพฯ,นนทบุรีและวางเพลิง มีผู้ก่อเหตุประมาณ 15 คน ก่อเหตุทั้งหมด 14 จุด หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2 คน, หน้าอาคารคิงพาวเวอร์มหานคร บีทีเอส ช่องนนทรี ท้องที่สน.ยานนาวา 2 คน , ตลาดไซด์วอร์ค ย่านประตูน้ำ ท้องที่ สน.พญาไท 4 คน, ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ พื้นที่ สน.ทุ่งสองห้อง 2 คน, หน้าสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ท้องที่ สภ.ปากเกร็ด 1 คน ห้างสยามพารากอนและ สยามเซ็นเตอร์ ท้องที่ สน.ปทุมวัน 2 คน และห้างแพลตตินัม ท้องที่สน.พญาไท อีก 2 คน

ยังมีรายงานอีกว่า จากข้อมูลทั้งหมดที่มีตอนนี้ ตำรวจเตรียมยื่นขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ก่อเหตุเบื้องต้นไม่ต่ำ 7 คน คือ มือวางระเบิดตลาดไซด์วอร์ค ย่านประตูน้ำ 4 คน, ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ 2 คน และหน้าป้ายสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม 1 คน แต่ยังคงต้องรอพยานหลักฐานด้านนิติวิทยาศาสตร์ มาสนับสนุนหลักฐานที่มีทั้งหมดอีกครั้ง คาดจะได้ผลตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์อีก 2-3 วัน 

บรรยากาศตลอดทั้งวันที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล หนึ่งในประเด็นสำคัญวันนี้คือการเชิญ พันตำรวจเอกกำธร อุ่ยเจริญ รองผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ หรือ 191 พร้อมเจ้าหน้าที่กลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด หรืออีโอดี มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบและชนิดของระเบิดที่ใช้ก่อเหตุครั้งนี้ และเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดก่อนหน้านี้ทั้งหมด โดย พ.ต.อ.กำธร ขอปฏิเสธให้ข้อมูลกับสื่อ ขอให้ผู้บังคับบัญชาเป็นผู้ให้ข้อมูลเท่านั้น

รายงานว่า เจ้าหนห้าที่อีโอดี ให้ข้อมูลกับชุดทำคดีว่า จากการตรวจสอบที่้เกิดเหตุแต่ละจุดพบหลักฐานหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ ไอซีไทเมอร์ หรือไอซีตั้งเวลา ที่เมื่อนำไปเทียบเคียง กลับพบว่ารูปแบบการประกอบระเบิดและวัสดุที่นำมาใช้ในครั้งนี้คล้ายกับเหตุระเบิดในพื้นที่ 3 จังหวัดของภาคใต้ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดเป็นหนึ่งในพยานหลักฐานสำคัญที่ตำรวจใช้ประกอบสำนวนคดีเพื่อเตรียมขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ก่อเหตุในคดีนี้.-สำนักข่าวไทย

     

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เขยโหดบุกยิงแม่ยาย-ญาติ ดับ 3 ก่อนจบชีวิตตัวเอง

ปทุมธานี 3 ก.ย. – เขยปืนโหด ถูกจับได้ว่าแอบคบกับน้องเมียวัย 13 ปี บุกยิงยกครัวเมียที่บ้านพัก ย่านปทุมธานี แม่ยาย-น้องเมีย-น้า เสียชีวิต ก่อนจบชีวิตตัวเองหนีความผิด เหตุดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อเวลา 23.10 น. ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน สภ.คลองห้า จ.ปทุมธานี ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน และอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู ร่วมตรวจสอบบ้านหลังหนึ่ง ในพื้นที่หมู่ 7 ต.คลองเจ็ด อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี จุดเกิดเหตุอยู่ด้านหลังบ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่เปิดโล่ง พบร่างนางทัศนี อายุ 46 ปี นอนเสียชีวิตอยู่ด้านข้างโต๊ะกินข้าว ตามร่างกาย มีบาดแผลถูกยิงเข้าที่ศีรษะ ข้างกันพบปลอกกระสุนปืนขนาด.380 ตกอยู่จำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ ยังพบร่างนายชัยวัฒน์ อายุ 43 ปี น้องชายนางทัศนีย์ ได้รับบาดเจ็บ ส่วนในบ้านพบ ด.ญ.วันเพ็ญ อายุ 13 ปี ลูกสาวนางทัศนีย์ ได้รับบาดเจ็บอีกราย เจ้าหน้าที่กู้ชีพและกู้ภัยฯ […]

พรรคร่วมฯ ใหม่ ตบเท้าร่วมแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลกับ “ภูมิใจไทย”

รัฐสภา 3 ก.ย.-พรรคร่วมฯ ใหม่ ตบเท้าร่วมแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลกับ “ภูมิใจไทย” ก๊วน “สุชาติ-ธรรมนัส-สันติ” ร่วมด้วย ด้านงูเห่า “เพื่อไทย-ปชป.” โผล่โชว์ตัว บรรยากาศการประชุมพรรคภูมิใจไทย ภายหลังพรรคประชาชนมีมติโหวตให้นายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลต่างทยอยเดินทางมาเพื่อรอแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลในเวลา 11:00 น. โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น สส.รวมไทยสร้างชาติ นำกลุ่ม 18 สส. เดินทางมาเป็นกลุ่มแรก อย่างไรก็ตามไม่พบว่ามี สส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ของกลุ่มนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เดินทางมาร่วมแต่อย่างใด ขณะที่ตัวแทนจากพรรคพลังประชารัฐ นำโดย ชัยมงคล ไชยรบ สส.สกลนคร และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตามมาด้วยนายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่นำ สส.เพชรบูรณ์ มาร่วมด้วย จากนั้น พรรคกล้าธรรม นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม พร้อมแกนนำพรรค เช่น นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าพรรค นายไผ่ […]

“ทักษิณ” รับผิดไว้ใจ “ธรรมนัส” มากเกินไป

กรุงเทพฯ 2 ก.ย.- “ทักษิณ” ยอมรับผิด ไว้วางใจ “ธรรมนัส” มากเกินไป ส่วนการจัดตั้งรัฐบาล ต้องรอดูพรรคประชาชน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำวันที่ 1 ก.ย. สส.พรรคเพื่อไทย ประมาณ 10 คน ได้นัดเลี้ยงสังสรรค์ให้นายฉลาด ขามช่วง ที่ได้รับเลือกให้เป็นดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 เมื่อเรื่องรู้ถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ จึงเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกับนายฉลาด ด้วย โดยในวงรับประทานอาหาร นายทักษิณ พูดถึงกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ถอนตัวจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดยยอมรับผิดว่า “ไว้วางใจ ร.อ.ธรรมนัส มากเกินไป พี่ผิดไปแล้ว พี่ดูคนผิด” ทำให้ สส. ที่ร่วมวงอยู่นั้นสวนทันทีว่านายทักษิณ โดนคนหลอกตลอด ซึ่ง สส.ที่ร่วมวง ต่างเห็นตรงกันว่า ไม่เคยเห็นนายทักษิณ ยอมรับผิดแบบนี้มาก่อน เห็นได้ว่านายทักษิณ ได้แสดงท่าทีรู้สึกผิดมาก พร้อมกันนี้ สส. […]

เปิดชื่อ 20 สส.เพื่อไทย ส่งศาล รธน. ปมตุลาการหมดวาระ

พรรคเพื่อไทย 2 ก.ย.- เปิดชื่อ 20 สส.เพื่อไทย เข้าชื่อส่งศาล รธน. ปมตุลาการหมดวาระ แต่ยังปฏิบัติหน้าที่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 20 สส.เพื่อไทย นำโดย นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานวิปรัฐบาล ได้ทำหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของกระบวนการพิจารณาวินิจฉัย เรื่องพิจารณาที่ 17/2568 กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 วินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี โดยเมื่อวันที่ 29 ส.ค.2568 ซึ่งเป็นวันวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ นายสราวุธ ทรงศิวิไล ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป แทน นายปัญญา อุดชาชน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากครบวาระการดำรงตำแหน่ง ดังนั้น เมื่อได้รับทราบถึงการมีประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายสราวุธ แทนนายปัญญา ซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระแล้ว จึงไม่ควรที่จะให้ นายปัญญา […]

ข่าวแนะนำ

รฟท.ประสาน DSI เลื่อนแจ้งความเอาผิด “เขากระโดง”

ดีเอสไอ 3 ก.ย.-รฟท.ประสาน DSI เลื่อนแจ้งความเอาผิดเรื่องเขากระโดงไม่มีกำหนด ความคืบหน้าการสืบสวนเรื่องร้องเรียนการครอบครองและการออกเอกสารสิทธิในที่ดินบริเวณเขากระโดงจังหวัดบุรีรัมย์ อันอาจเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งอธิบดีดีเอสไอมีคำสั่งสืบสวน และดีเอสไอได้ดำเนินการสอบสวนปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบรวบรวมพยานหลักฐานพบกลุ่มบุคคลและเจ้าหน้าที่รฟท.เกี่ยวข้อง ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ติดต่อจะมอบให้ฝ่ายกฎหมายเข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อขอให้ดำเนินการสอบสวนตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง พร้อมมอบเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องวันนี้ เวลา 14.00น. ล่าสุดพ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผอ.กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย รฟท.ได้ประสานกลับมายังตน ขอเลื่อนการเข้าแจ้งความร้องทุกข์ออกไปก่อน อย่างไม่มีกำหนด กรณีนี้ พนักงานสอบสวนดีเอสไอตรวจสอบพบ กลุ่มบุคคลและเจ้าหน้าที่การรถไฟเข้าไปเกี่ยวข้อง และการรถไฟฯ เป็นผู้เสียหายจึงประสาน รฟท.ไปให้มาแจ้งความดำเนินคดีอาญากับกลุ่มบุคคลและเจ้าหน้าที่การรถไฟแห่งประเทศไทย และเจ้าหน้าที่รัฐอื่นในการเข้ายึดถือครอบครองที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย บริเวณพื้นที่เขากระโดง ต.เสม็ด และ ต.อิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ หากรฟท.ไม่มาแจ้งร้องทุกข์ ก็เข้าข่ายละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ดีเอสไอจะทำหนังสือแจ้งรฟท.อีกครั้งให้มาแจ้งความร้องทุกข์ หากยังไม่มาอีก ก็จะประชุมพนักงานสอบสวน ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้บริหารการรถไฟฯ เรียกสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องฐานเป็นผู้สนับสนุนเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป.-สำนักข่าวไทย

ติดป้ายให้ ‘ชาวกัมพูชา’ รื้อถอน-ย้ายออก พื้นที่บ้านหนองจาน

สระแก้ว 4 ก.ย.-ผู้ว่าฯ สระแก้ว สั่งติดป้ายให้ชาวกัมพูชา รื้อถอน-ย้ายออก พื้นที่บ้านหนองจาน ในส่วนของไทย หากฝ่าฝืนเอาผิด พ.ร.บ.คนเข้าเมือง-ป่าไม้ โทษปรับ-จำคุก เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน จ.สระแก้ว ติดตั้งประกาศบังคับใช้กฎหมายชาวกัมพูชาที่บุกรุกพื้นที่ในราชอาณาจักรไทย บริเวณบ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว โดยป้ายมี 3 ภาษา ไทย-กัมพูชา-อังกฤษ พร้อมแผนที่ ระบุว่า “ประกาศให้ชาวกัมพูชาที่บุกรุกถือครองที่ดินและอยู่อาศัยทำกินในราชอาณาจักรไทย เป็นการกระทำความผิดในราชอาณาจักรไทย ตามแผนที่แนบท้ายกรอบสีฟ้า หากเพิกเฉยไม่ดำเนินการจะดำเนินคดีและต้องรับโทษในราชอาณาจักรไทย หากเพิกเฉยไม่ดำเนินการจะดำเนินคดีและต้องรับโทษในราชอาณาจักรไทยตามกฎหมายดังนี้ 1.พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 11 มาตรา 62 และมาตรา 81 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท 2.พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 54 และมาตรา 72 ตรี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 50,000 […]

เร่งล่าคนร้ายฆ่าหญิงสาวยัดกระเป๋าเดินทางถ่วงน้ำ

ชลบุรี 3 ก.ย. – คดีสังหารโหดหญิงปริศนายัดกระเป๋าเดินทาง โยนทิ้งอ่างเก็บน้ำ จ.ชลบุรี ตำรวจเร่งหาเบาะแสล่าตัวคนร้าย พบลายนิ้วมือแฝงบนดัมเบลที่ใช้ถ่วงน้ำหนักกระเป๋า ตำรวจ สภ.ห้วยใหญ่ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน นำกระเป๋าเดินทางสีดำขนาดใหญ่ ซึ่งมีโซ่เหล็ก และกุญแจล็อกแน่นหนา ขึ้นมาตรวจสอบ หลังจากพบลอยอยู่ในอ่างเก็บน้ำคลองบางไผ่ ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วบริเวณ จากการตรวจสอบภายในกระเป๋า พบศพหญิงสาว อายุประมาณ 30 ปี ไม่ทราบสัญชาติ เปลือยท่อนบน นุ่งกางเกงขา 3 ส่วน สีครีม นอนขดตัวอยู่ในกระเป๋า พบร่องรอยเขียวช้ำบริเวณลำคอ กลางหน้าอก และดั้งจมูก คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 5 วัน โดยเจ้าหน้าที่ได้ส่งศพไปชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้ง รวมถึงตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลว่า ผู้ตายเป็นใคร มาจากไหน ส่วนบริเวณช่องใส่ของด้านหน้ากระเป๋า พบแผ่นดัมเบล 9 แผ่น (ขนาดน้ำหนัก 5 กก. จำนวน 1 แผ่น / 2.5 […]

แห่แจ้งความเอาผิด “ภูมิธรรม” ปมยื่นทูลเกล้าฯ ยุบสภา

3 ก.ย. – แห่แจ้งความเอาผิด “ภูมิธรรม” ปมยื่นทูลเกล้าฯ ยุบสภา ชี้ผิดมาตรา 112 และมาตรา 157 สะพัด! ตีกลับ พ.ร.ฎ.ยุบสภา เหตุไม่เป็นไปตามระเบียบ-กฤษฎีกาแย้งไร้อำนาจ ด้าน “อนุทิน” บอกยังเป็นแค่ข่าว รอรัฐบาลแจงดีกว่า นายไทกร พลสุวรรณ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และนายสุรทิน พิจารณ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปไตยใหม่ เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน บก.ปปป. เอาผิดนายภูมิธรรม เวชยชัย ในความผิดมาตรา 112 พร้อมเผยว่า การพยายามยื่นทูลเกล้าฯ พ.ร.ฎ.ยุบสภา ถือเป็นการกระทำที่มิบังควร เนื่องจากไม่มีอำนาจหน้าที่หรือสิทธิที่สามารถทำได้ นายไทกร ระบุว่า ได้รับข้อมูลว่านายภูมิธรรม นำเรื่องพระราชกฤษฎีกายุบสภาไปส่งยังสำนักพระราชวังแล้ว หนังสือฉบับนั้นได้ถูกส่งกลับมาที่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แต่พรรคเพื่อไทยและนายภูมิธรรมยังไม่ยอมที่จะเคารพต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่รู้ว่าตนเองไม่มีสิทธิในการที่จะใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญเพื่อที่จะยุบสภา กลับมีความพยายามที่จะเรียกประชุมคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะใหญ่ โดยมีการทาบทามให้ ดร.วิษณุ เครืองาม และคณะ มาทำหน้าที่ เพื่อที่จะตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาขึ้นอีกฉบับใหม่ในวันพรุ่งนี้ เพื่อที่จะนำส่งสำนักพระราชวังอีกครั้ง ถือว่าการกระทำที่ไม่บังควร “ศุภชัย” […]