Big Story : ตรวจสอบรถ จยย.ต้องสงสัยที่หัวหิน ไม่พบระเบิด

ประจวบคีรีขันธ์ 4 ส.ค.- นายอำเภอหัวหินเผยชุดอีโอดีเคลียร์เรียบร้อย จยย.จอดไว้นาน 3 วัน สถานีรถไฟหัวหิน ไม่พบระเบิดซุกซ่อน ล่าสุดเปิดพื้นที่ใช้ตามปกติแล้ว ชี้เสียงที่ได้ยินจนแชร์กันในโซเชียลเป็นเสียงปืนยิงน้ำแรงดันสูง





เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา เกิดเหตุป่วนที่สถานีรถไฟหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พบรถจักรยานยนต์ต้องสงสัย 3 คัน ทะเบียนยะลา ปัตตานี นราธิวาส นำมาจอดทิ้งไว้ที่หน้าสถานีรถไฟหลายวันแล้ว และจากการตรวจสอบพบมีข้อมูลกับป้ายทะเบียนไม่ตรงกัน ตำรวจและฝ่ายความมั่นคงต้องปิดล้อมรอบพื้นที่สถานีรถไฟหัวหินนานกว่า 2 ชั่วโมง พร้อมสั่งหยุดรถไฟทุกขบวนที่จะเข้ามายังสถานีรถไฟหัวหินเป็นการชั่วคราว เพื่อให้เจ้าหน้าที่อีโอดีเข้าตรวจสอบ ทำให้ผู้โดยสารติดค้างอยู่ด้านนอกเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันยังสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากมีเสียงดังคล้ายระเบิดเกิดขึ้น 3 ครั้ง  ผลการตรวจสอบล่าสุด  ไม่พบวัตถุระเบิด ส่วนเสียงดังกล่าว เกิดจากเจ้าหน้าที่ยิงปืนอัดแรงดันสูงรถจักรยานยนต์ต้องสงสัยทั้ง 3 คัน  ส่วนการตรวจสอบกล้องวงจรปิด เบื้องต้น พบผู้หญิงนำรถจักรยานยนต์ สีฟ้าทะเบียนยะลา มาจอดทิ้งไว้ตั้งแต่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ส่วนรถจักรยานยนต์อีก 2 คน คาดว่าน่าจะถูกนำมาจอดภายหลังเกิดเหตุการณ์ระเบิดป่วนกรุงเทพฯ จึงต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งว่ามีความเชื่อมโยงกันหรือไม่ ทั้งนี้จากเหตุการณ์ดังกล่าวได้มีการสั่งชะลอการเดินรถไฟ 1 ขบวนที่จะผ่านเข้ามายังสถานีหัวหิน ทำให้ล่าช้าไปประมาณ 10 นาที ช่วงเวลา 13.00 น. ซึ่งหลังเจ้าหน้าที่เข้าเคลียร์พื้นที่เรียบร้อย ได้เปิดให้มีการเดินรถตามปกติแล้ว


เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบผู้หญิงนำรถจักรยานยนต์ มีโอ สีฟ้าทะเบียนยะลา มาจอดตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ส่วนรถจักรยานยนต์อีก 2 คน คาดว่าน่าจะถูกนำมาจอดภายหลังเกิดเหตุการณ์ระเบิดที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้งว่ามีความเชื่อมโยงกันหรือไม่

ด้าน พลตำรวจโทปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฝากเตือนประชาชนขออย่าตื่นตระหนก ควรรับฟังข่าวสารจากทางการเป็นหลักก่อน ไม่ควรรีบแชร์ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และช่วยกันเป็นหูเป็นตาหากพบสิ่งผิดปกติให้รีบแจ้งตำรวจหรือโทร 191 โดยด่วน

ก่อนหน้านี้ในพื้นที่หัวหินเคยตกเป็นพื้นที่เป้าหมายถูกรอบวางระเบิดมาแล้ว 2 จุด เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2559 ภายในเทศบาลเมืองหัวหิน โดยจุดแรก คือบริเวณหอนาฬิกา 1 ลูก และบริเวณหน้าโรงเรียนวัดหัวหิน อีก 1 ลูก ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน ภายหลังจากเกิดเหตุระเบิด บริเวณหน้าร้านอาหารจอห์นนี่ 56 ถนนเดชานุชิต และบริเวณหน้าร้านเรนทรี สปา ถนนพูนสุข ตัดซอยเสละคาม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2  คน บาดเจ็บอีก 24 คน  โดยเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นพร้อมกันกับเหตุลอบวางระเบิดพร้อมกันอีกหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้

ส่วนความคืบหน้าเหตุคนร้ายไม่ทราบกลุ่มและจำนวน กระจายกำลังลอบวางระเบิดตู้เอทีเอ็ม ในพื้นที่ 3 อำเภอ ของจังหวัดปัตตานี เมื่อคืนที่ผ่านมา  ได้แก่ ตู้เอทีเอ็มธนาคารอิสลามหน้ามหาวิทยาลัยฟาฏอนี หมู่3 ต.เขาตูม อ.ยะรัง ตู้เอทีเอ็มธนาคารอิสลาม ที่หน้าโรงเรียนอาซิซสถาน ม.7 ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ และบริเวณตู้เอทีเอ็มธนาคารอิสลามหน้าโรงเรียนศาสนศึกษา ม.1 ต.ตะบิ้ง อ.สายบุรี ล่าสุดเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ได้เข้าไปตรวจสอบเหตุระเบิดที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารอิสลาม หน้าโรงเรียนอาซิซสถาน พบตู้เอทีเอ็มดังกล่าวเสียหายอย่างหนัก มีอุปกรณ์ประกอบระเบิดแบบลากสายกระจัดกระจายไปทั่ว และยังพบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. และปลอกกระสุนเอ็ม 16 อีกกว่า 10 ปลอก จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน  ขณะที่กล้องวงจรปิดที่เสาไฟฟ้าหน้าโรงเรียนไม่สามารถใช้การได้

จากการสอบสวน พบว่า เมื่อช่วงเที่ยงคืนที่ผ่านมา มีคนร้ายไม่ต่ำกว่า 5 คน พร้อมอาวุธปืนครบมือ ลอบนำระเบิดแสวงเครื่องบรรจุในถังแก๊ซปิกนิก น้ำหนัก 15 กิโลกรัม มาจุดฉนวนโดยการลากสาย นำมาวางไว้ที่หน้าตู้เอทีเอ็ม และก่อนที่คนร้ายจะกดฉนวนระเบิด ได้ใช้อาวุธปืน เอ็ม 16 และ 9 มม.ยิงขึ้นฟ้า เพื่อข่มขู่ไม่ให้ชาวบ้านออกมา จากนั้นคนร้ายได้กดฉนวนระเบิด เป็นเหตุให้ตู้เอที่เอ็มได้รับความเสียหาย อีกทั้งก่อนหลบหนีไป ได้นำยางรถยนต์มาจุดไฟเผาบนถนนสายนาประดู่-ยะลา เพื่อป้องกันการติดตามของเจ้าหน้าที่

ด้าน พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี ระบุหลังเข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุด้วยตัวเองทั้ง 3 จุด พบว่า คนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้ มีพฤติกรรมการก่อเหตุในลักษณะเดียวกัน แต่งกายชุดเดียวกัน และใช้ระเบิดชนิดเดียวกัน จึงมั่นใจว่าเป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกัน ที่มีผู้สั่งการคนเดียวกัน  มุ่งที่จะก่อเหตุกับตู้เอทีเอ็มของธนาคารอิสลาม ขณะนี้กำลังรวบรวมพยานหลักฐานทั้ง 3 จุด เพื่อหาตัวกลุ่มคนร้าย เชื่อเป็นคนร้ายที่อยู่ในพื้นที่ ส่วนจะเชื่อมโยงกับว่าเป็นการตอบโต้เจ้าหน้าที่ หลังมีการจับกุมมือระเบิดป่วนกรุงเทพฯหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถยืนยันได้ ต้องรอให้ผลพิสูจน์หลักฐานก่อน จึงจะรู้ว่าเป็นฝีมือของคนร้ายกลุ่มใด

พบระเบิดปิงปอง 3 ลูกพร้อมใช้งาน จ.นนทบุรี

ส่วนที่อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ตำรวจนำกำลังตรวจสอบเหตุพบระเบิดปิงปองพร้อมใช้งานวางอยู่ปากทางเข้าวัดสลักเหนือ ถนนติวานนท์ ตำบลบ้านใหม่ ก่อนประสานเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าตรวจสอบ ที่เกิดเหตุอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ เจ้าหน้าที่พบระเบิดปิงปอง 3 ลูก ขนาดเส้นผ่าศูนย์ 10 เซนติเมตรพันด้วยผ้าเทปสีดำ โดย 1 ลูกระเบิดไปแล้ว อีก 2 ลูกยังไม่ระเบิดแต่พร้อมใช้งาน เจ้าหน้าที่จึงใช้ยางรถยนต์ครอบ และกันพื้นที่เพื่อทำการเก็บกู้ และนำไปตรวจสอบหาลายนิ้วมือคนที่ทำระเบิดหรือนำมาวางไว้

เหตุการณ์นี้ สอบถามร้านค้าย่านดังกล่าว ทราบว่า เวลา 06.00 น. มีวัยรุ่น 5 คน ขี่รถจักรยานยนต์มา 3 คันมาจอดใกล้ที่เกิดเหตุ จากนั้นมีวัยรุ่น 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมา ซึ่งคาดเป็นอริกับกลุ่มแรก เพราะมีการขี่รถไล่ตามกัน จากนั้นชาวบ้านได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น 1 ครั้ง แต่ไม่รู้ว่ามีระเบิดหลงเหลืออยู่ จนช่วงบ่ายมีคนเดินผ่านมาเห็นระเบิดอีก 2 ลูก จึงแจ้งตำรวจเข้าตรวจสอบและเก็บกู้ .- สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]

“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ

รัฐสภา 13 ส.ค.-“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจงยัน กมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็กความพร้อมให้ทหาร การอภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ นายชยพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลย จะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่ “นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า […]

“สืบพงษ์” ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก กรณียื่นฟ้องรักษาการอธิบดี ม.รามฯ ข้อหาเบิกความเท็จ

ศาลอาญา 13 ส.ค. – ศาลนัดสืบพยาน “สืบพงษ์” ยื่นฟ้อง รักษาการ อธ.รามคำแหง พร้อมพวก ข้อหาเบิกความเท็จถูกยื่นถอดถอนเมื่อปี 65 ชี้ “ฮุนเซน” ทิ้งใบปริญญาลงโถส้วมเป็นการไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย วอนยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานที่ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง กับพวกรวม 2 คน ในความผิดฐาน “ฟ้องเท็จ / เบิกความเท็จ นายสืบพงษ์ เปิดเผยว่า ศาลนัดสืบพยานนัดแรกในคดีที่ตนได้ฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงฟ้องตนที่ศาลแขวงพระนครเหนือโดยกล่าวหาตนว่ากระทำตนเป็นเจ้าพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีอำนาจ จากนั้นทางศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ โดยวันนี้ตนเองเป็นพยานปากแรกที่ขึ้นเบิกความในวันนี้และจะมีพยานทั้งหมด 5 ปาก สืบพยานในวันนี้และวันที่ 14 ส.ค. ส่วนประเด็นที่ถูกถอดถอนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2565 นั้น มีการถอดถอนตนเองทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ […]

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

ข่าวแนะนำ

“ลุงพล” นอนคุกยาว ศาลไม่ให้ประกันตัว เกรงหลบหนี

14 ส.ค. – ศาลฎีกายกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ประกันตัว “ลุงพล” คดีน้องชมพู่ ชี้เป็นคดีร้ายแรง เกรงจะหลบหนี ส่งผลให้ลุงพลต้องนอนคุกระหว่างฎีกา นายประยุทธ เพชรคุณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลสูงภาค 4 กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เพิ่มโทษ “ลุงพล” ในคดีฆ่าเด็กหญิงอรวรรณ หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ปี รวมเป็น 26 ปี เมื่อวานนี้ ลุงพลยื่นประกันตัวและศาลจังหวัดมุกดาหารส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา เรื่องการปล่อยชั่วคราว โดยวันนี้ศาลฎีกา ได้มีคำสั่งออกมาว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่อสังคมเป็นการลงโทษสถานหนัก ทั้งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษให้จำคุก 26 ปี และเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา ยกคำร้องการประกันตัว ส่งผลให้จำเลยต้องคุมขังอยู่ในเรือนจำระหว่างฎีกา ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ส.ค.) เจ้าหน้าที่จะนำตัวลุงพลไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดนครพนม เนื่องจากโทษจำคุกสูง.-สำนักข่าวไทย

บุกชิงทอง

ควงปืนชิงทองกลางห้างดังย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท ขี่ จยย.หนี

สมุทรปราการ 14 ส.ค. – คนร้ายสวมชุดไรเดอร์ควงปืนจี้ชิงทอง ร้านทองกลางห้าง ย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท มูลค่ากว่า 8 ล้านบาท ก่อนขี่จักรยานยนต์หลบหนี ตำรวจเร่งล่าตัว เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ เกิดเหตุอุกอาจภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านบางบ่อ จ.สมุทรปราการ คนร้ายรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดไรเดอร์ ใส่หมวกกันน็อกเต็มใบ สะพายกระเป๋าข้าง บุกเข้าไปในร้านทองพร้อมใช้อาวุธปืนข่มขู่พนักงาน กวาดสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำ น้ำหนักรวมราว 163 บาท หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท วิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า เอ็นแม็ก ที่จอดอยู่ด้านหน้า ขี่หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้าง ให้ข้อมูลว่า เห็นคนร้ายเดินเข้ามา จึงบอกให้ถอดหมวกกันน็อก แต่คนร้ายไม่สนใจ ก่อนบุกเข้าไปก่อเหตุในร้านทอง พนักงานชายร้านทอง เล่าว่า ผู้ก่อเหตุปีนเข้ามาแล้วพูดว่า ‘หยิบทองมา’ จึงสั่งให้น้องพนักงานหมอบลงเพื่อความปลอดภัย เพราะเห็นว่าคนร้ายมีอาวุธปืน และไม่เคยเห็นหน้าของคนร้ายมาก่อน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และตำรวจ สภ.บางบ่อ พร้อมผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ อยู่ระหว่างตรวจสอบที่เกิดเหตุ เร่งไล่ล่าตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป. – […]

เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด

กทม.14 ส.ค.- เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด อ้างอิงเหตุการณ์คลิปเสียง และพฤติการณ์ที่นิ่งเฉย ไม่กำหนดมาตรการหรือความชัดเจนตอบโต้กัมพูชาในช่วงปะทะ ไล่เลียงตั้งแต่กัมพูชารุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทย 200 เมตร จนถึงวันปล่อยคลิปเสียง 18 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคำร้องของ 36 สว. ต่อกรณีคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ที่ศาลนัดวินิจฉัยคำร้องในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ซึ่งในคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบกับมาตรา 160 (4)(5) ในเนื้อหาคำร้องอ้างอิงถึงคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ที่มีการเอ่ยพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 แม้นายกรัฐมนตรีพยายามแถลงข่าวชี้แจงกรณีคลิปเสียง แต่สมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียงเช่นนี้แล้ว นายกรัฐมนตรีย่อมพยายามจะต้องหาข้อแก้ตัวอย่างไรก็ได้ โดยสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า หากนายกรัฐมนตรีมีเจตนาเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบระหว่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติจริง นายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักและมาตรฐานการดำเนินการที่ถูกต้องอย่างโปร่งใส ตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ประการสำคัญ […]

“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ชายแดนสันติ

จีน 15 ส.ค.-“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ปัญหาชายแดนอย่างสันติ พร้อมขอบคุณที่เห็นความจำเป็นในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เห็นพ้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตอบรับคำเชิญของ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ในการเข้าร่วมจิบน้ำชาและหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ไทย และกัมพูชา ในห้วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong – Lancang Cooperation) หรือ MLC ครั้งที่ 10 ณ เมืองอันหนิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนายมาริษ ได้แสดงความขอบคุณต่อบทบาทที่สร้างสรรค์ของจีน ในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาอย่างสันติ ผ่านกลไกทวิภาคีต่างๆ และการบังคับใช้ให้เกิดการดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยได้รับการสนับสนุนของอาเซียน พร้อมยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วน ที่ไทย-กัมพูชา ต้องร่วมมือกันในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน ซึ่งทุกฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันถึงความจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล เนื่องจากเป็นก้าวสำคัญในการลดความตึงเครียด และฟื้นฟูความเป็นปกติสุขในพื้นที่ชายแดน นอกจากนี้ นายมาริษ ยังได้กล่าวขอขอบคุณ นายหวัง อี้ […]