Big Story : ตรวจสอบรถ จยย.ต้องสงสัยที่หัวหิน ไม่พบระเบิด

ประจวบคีรีขันธ์ 4 ส.ค.- นายอำเภอหัวหินเผยชุดอีโอดีเคลียร์เรียบร้อย จยย.จอดไว้นาน 3 วัน สถานีรถไฟหัวหิน ไม่พบระเบิดซุกซ่อน ล่าสุดเปิดพื้นที่ใช้ตามปกติแล้ว ชี้เสียงที่ได้ยินจนแชร์กันในโซเชียลเป็นเสียงปืนยิงน้ำแรงดันสูง





เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา เกิดเหตุป่วนที่สถานีรถไฟหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พบรถจักรยานยนต์ต้องสงสัย 3 คัน ทะเบียนยะลา ปัตตานี นราธิวาส นำมาจอดทิ้งไว้ที่หน้าสถานีรถไฟหลายวันแล้ว และจากการตรวจสอบพบมีข้อมูลกับป้ายทะเบียนไม่ตรงกัน ตำรวจและฝ่ายความมั่นคงต้องปิดล้อมรอบพื้นที่สถานีรถไฟหัวหินนานกว่า 2 ชั่วโมง พร้อมสั่งหยุดรถไฟทุกขบวนที่จะเข้ามายังสถานีรถไฟหัวหินเป็นการชั่วคราว เพื่อให้เจ้าหน้าที่อีโอดีเข้าตรวจสอบ ทำให้ผู้โดยสารติดค้างอยู่ด้านนอกเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันยังสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากมีเสียงดังคล้ายระเบิดเกิดขึ้น 3 ครั้ง  ผลการตรวจสอบล่าสุด  ไม่พบวัตถุระเบิด ส่วนเสียงดังกล่าว เกิดจากเจ้าหน้าที่ยิงปืนอัดแรงดันสูงรถจักรยานยนต์ต้องสงสัยทั้ง 3 คัน  ส่วนการตรวจสอบกล้องวงจรปิด เบื้องต้น พบผู้หญิงนำรถจักรยานยนต์ สีฟ้าทะเบียนยะลา มาจอดทิ้งไว้ตั้งแต่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ส่วนรถจักรยานยนต์อีก 2 คน คาดว่าน่าจะถูกนำมาจอดภายหลังเกิดเหตุการณ์ระเบิดป่วนกรุงเทพฯ จึงต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งว่ามีความเชื่อมโยงกันหรือไม่ ทั้งนี้จากเหตุการณ์ดังกล่าวได้มีการสั่งชะลอการเดินรถไฟ 1 ขบวนที่จะผ่านเข้ามายังสถานีหัวหิน ทำให้ล่าช้าไปประมาณ 10 นาที ช่วงเวลา 13.00 น. ซึ่งหลังเจ้าหน้าที่เข้าเคลียร์พื้นที่เรียบร้อย ได้เปิดให้มีการเดินรถตามปกติแล้ว


เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบผู้หญิงนำรถจักรยานยนต์ มีโอ สีฟ้าทะเบียนยะลา มาจอดตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ส่วนรถจักรยานยนต์อีก 2 คน คาดว่าน่าจะถูกนำมาจอดภายหลังเกิดเหตุการณ์ระเบิดที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้งว่ามีความเชื่อมโยงกันหรือไม่

ด้าน พลตำรวจโทปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฝากเตือนประชาชนขออย่าตื่นตระหนก ควรรับฟังข่าวสารจากทางการเป็นหลักก่อน ไม่ควรรีบแชร์ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และช่วยกันเป็นหูเป็นตาหากพบสิ่งผิดปกติให้รีบแจ้งตำรวจหรือโทร 191 โดยด่วน

ก่อนหน้านี้ในพื้นที่หัวหินเคยตกเป็นพื้นที่เป้าหมายถูกรอบวางระเบิดมาแล้ว 2 จุด เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2559 ภายในเทศบาลเมืองหัวหิน โดยจุดแรก คือบริเวณหอนาฬิกา 1 ลูก และบริเวณหน้าโรงเรียนวัดหัวหิน อีก 1 ลูก ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน ภายหลังจากเกิดเหตุระเบิด บริเวณหน้าร้านอาหารจอห์นนี่ 56 ถนนเดชานุชิต และบริเวณหน้าร้านเรนทรี สปา ถนนพูนสุข ตัดซอยเสละคาม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2  คน บาดเจ็บอีก 24 คน  โดยเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นพร้อมกันกับเหตุลอบวางระเบิดพร้อมกันอีกหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้

ส่วนความคืบหน้าเหตุคนร้ายไม่ทราบกลุ่มและจำนวน กระจายกำลังลอบวางระเบิดตู้เอทีเอ็ม ในพื้นที่ 3 อำเภอ ของจังหวัดปัตตานี เมื่อคืนที่ผ่านมา  ได้แก่ ตู้เอทีเอ็มธนาคารอิสลามหน้ามหาวิทยาลัยฟาฏอนี หมู่3 ต.เขาตูม อ.ยะรัง ตู้เอทีเอ็มธนาคารอิสลาม ที่หน้าโรงเรียนอาซิซสถาน ม.7 ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ และบริเวณตู้เอทีเอ็มธนาคารอิสลามหน้าโรงเรียนศาสนศึกษา ม.1 ต.ตะบิ้ง อ.สายบุรี ล่าสุดเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ได้เข้าไปตรวจสอบเหตุระเบิดที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารอิสลาม หน้าโรงเรียนอาซิซสถาน พบตู้เอทีเอ็มดังกล่าวเสียหายอย่างหนัก มีอุปกรณ์ประกอบระเบิดแบบลากสายกระจัดกระจายไปทั่ว และยังพบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. และปลอกกระสุนเอ็ม 16 อีกกว่า 10 ปลอก จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน  ขณะที่กล้องวงจรปิดที่เสาไฟฟ้าหน้าโรงเรียนไม่สามารถใช้การได้

จากการสอบสวน พบว่า เมื่อช่วงเที่ยงคืนที่ผ่านมา มีคนร้ายไม่ต่ำกว่า 5 คน พร้อมอาวุธปืนครบมือ ลอบนำระเบิดแสวงเครื่องบรรจุในถังแก๊ซปิกนิก น้ำหนัก 15 กิโลกรัม มาจุดฉนวนโดยการลากสาย นำมาวางไว้ที่หน้าตู้เอทีเอ็ม และก่อนที่คนร้ายจะกดฉนวนระเบิด ได้ใช้อาวุธปืน เอ็ม 16 และ 9 มม.ยิงขึ้นฟ้า เพื่อข่มขู่ไม่ให้ชาวบ้านออกมา จากนั้นคนร้ายได้กดฉนวนระเบิด เป็นเหตุให้ตู้เอที่เอ็มได้รับความเสียหาย อีกทั้งก่อนหลบหนีไป ได้นำยางรถยนต์มาจุดไฟเผาบนถนนสายนาประดู่-ยะลา เพื่อป้องกันการติดตามของเจ้าหน้าที่

ด้าน พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี ระบุหลังเข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุด้วยตัวเองทั้ง 3 จุด พบว่า คนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้ มีพฤติกรรมการก่อเหตุในลักษณะเดียวกัน แต่งกายชุดเดียวกัน และใช้ระเบิดชนิดเดียวกัน จึงมั่นใจว่าเป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกัน ที่มีผู้สั่งการคนเดียวกัน  มุ่งที่จะก่อเหตุกับตู้เอทีเอ็มของธนาคารอิสลาม ขณะนี้กำลังรวบรวมพยานหลักฐานทั้ง 3 จุด เพื่อหาตัวกลุ่มคนร้าย เชื่อเป็นคนร้ายที่อยู่ในพื้นที่ ส่วนจะเชื่อมโยงกับว่าเป็นการตอบโต้เจ้าหน้าที่ หลังมีการจับกุมมือระเบิดป่วนกรุงเทพฯหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถยืนยันได้ ต้องรอให้ผลพิสูจน์หลักฐานก่อน จึงจะรู้ว่าเป็นฝีมือของคนร้ายกลุ่มใด

พบระเบิดปิงปอง 3 ลูกพร้อมใช้งาน จ.นนทบุรี

ส่วนที่อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ตำรวจนำกำลังตรวจสอบเหตุพบระเบิดปิงปองพร้อมใช้งานวางอยู่ปากทางเข้าวัดสลักเหนือ ถนนติวานนท์ ตำบลบ้านใหม่ ก่อนประสานเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าตรวจสอบ ที่เกิดเหตุอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ เจ้าหน้าที่พบระเบิดปิงปอง 3 ลูก ขนาดเส้นผ่าศูนย์ 10 เซนติเมตรพันด้วยผ้าเทปสีดำ โดย 1 ลูกระเบิดไปแล้ว อีก 2 ลูกยังไม่ระเบิดแต่พร้อมใช้งาน เจ้าหน้าที่จึงใช้ยางรถยนต์ครอบ และกันพื้นที่เพื่อทำการเก็บกู้ และนำไปตรวจสอบหาลายนิ้วมือคนที่ทำระเบิดหรือนำมาวางไว้

เหตุการณ์นี้ สอบถามร้านค้าย่านดังกล่าว ทราบว่า เวลา 06.00 น. มีวัยรุ่น 5 คน ขี่รถจักรยานยนต์มา 3 คันมาจอดใกล้ที่เกิดเหตุ จากนั้นมีวัยรุ่น 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมา ซึ่งคาดเป็นอริกับกลุ่มแรก เพราะมีการขี่รถไล่ตามกัน จากนั้นชาวบ้านได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น 1 ครั้ง แต่ไม่รู้ว่ามีระเบิดหลงเหลืออยู่ จนช่วงบ่ายมีคนเดินผ่านมาเห็นระเบิดอีก 2 ลูก จึงแจ้งตำรวจเข้าตรวจสอบและเก็บกู้ .- สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดแชต “สีกากอล์ฟ” หลอกยืมเงิน “อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร” 4 แสน

18 ก.ค. – เปิดแชต “สีกากอล์ฟ” หลอกยืมเงิน “อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร” 400,000 บาท อ้างป่วย ต้องใช้เงินผ่าตัด และแลกหลักฐานกรณีอดีตเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร มีความสัมพันธ์กับสีกากอล์ฟ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จ.พิจิตร หลงกลเล่ห์เหลี่ยมของสีกากอล์ฟ โดยเมื่อปี 2559 อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร ส่งข้อความไปหาสีกากอล์ฟ ว่ามีเรื่องสำคัญของบ้านเมืองจะปรึกษา และหว่านล้อมว่าสีกากอล์ฟเป็นบุคคลสำคัญยิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองส่วนหนึ่งใน จ.พิจิตร ไปในทิศทางที่ดีขึ้น หากให้ความร่วมมือจะมีผู้ใหญ่ใจดีที่พร้อมจะดูแลสีกากอล์ฟและลูก แล้วทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ติดต่อกลับ จากนั้นสีกากอล์ฟตอบกลับข้อความ ทำให้อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร เปิดเผยเป้าหมายทันทีว่าต้องการดำเนินการกับพระราชสิทธิเวที ในขณะนั้น (อดีตเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร และอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าหลวง จ.พิจิตร ที่เพิ่งสึกไป) ซึ่งมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริต เสพเมถุน และประพฤติตนไม่เหมาะสม อาจเชื่อมโยงมาถึงสีกากอล์ฟ พร้อมเสนอเงิน 1 ล้านบาท แต่สีกากอล์ฟชวนอดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร คุยเรื่องทั่วไป โดยเฉพาะอ้างว่ามีอาการป่วย ต้องใช้เงินผ่าตัดประมาณ 400,000 บาท […]

“ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ

17 ก.ค. – “ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ งงทำไมคนไทยไม่รักกัน ตอกพรรคที่เพิ่งหลุดร่วมรัฐบาลไป เป็นเขมรหรือไทย หลังติง “ลูกอิ๊งค์” ขายชาติ บอกปัจจุบันการเมืองไม่มีเสถียรภาพเหมือนสมัยรัฐบาล “คึกฤทธิ์” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก พลิกเกมเศรษฐกิจไทย” และ “พลิกเกมเศรษฐกิจไทย สู่อนาคต” จัดโดย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม พร้อมครม. อาทิ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรมว.คมนาคม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุชาติ ตันเจริญ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ […]

แม่ทัพภาค 2 เยี่ยมให้กำลังใจทหารบาดเจ็บเหยียบกับระเบิด

อุบลราชธานี 17 ก.ค.-แม่ทัพภาค 2 เยี่ยมให้กำลังใจทหารได้รับบาดเจ็บเหยียบกับระเบิด ซึ่งอาการโดยรวมดีขึ้น ที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ มณฑลทหารบกที่ 22 อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เข้าเยี่ยมให้กำลังใจกับทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 ที่ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดทั้ง 3 นาย ซึ่งมีอาการโดยรวมดีขึ้น สำหรับทหารที่ได้รับบาดเจ็บทั้ง 3 นายประกอบด้วย ส.อ.ปฏิพัทธ์ ศรีลาศักดิ์ มีบาดแผลฟกซ้ำบริเวณหน้าอกจากการถูกแรงอัดระเบิด ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้า แต่ปัจจุบันดีขึ้น พลทหารณัฐวุฒิ ศรีเข้ม มีบาดแผลฟกซ้ำที่หน้าอกจากการอัดของระเบิด แน่นหน้าอก แต่ช่วยเหลือตัวเองได้ พลทหารธนพัฒน์ หุยวัน ต้องตัดขาซ้ายใต้เข่าจากแรงระเบิด มีอาการปวดแผล แต่กินอาหารได้ตามปกติ หลังเยี่ยมพูดคุยให้กำลังใจ แม่ทัพก็เดินทางกลับไป เพื่อไปติดตามสถานการณ์ชายแดนด้านจังหวัดสุรินทร์ต่อไป.-711.-สำนักข่าวไทย

จนท. เข้าพบพระพรหมบัณฑิต ขอตรวจสอบบัญชีเงินวัดประยูรฯ

กทม. 17 ก.ค. – ตำรวจ ปปป. ป.ป.ท. และเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ บุกวัดประยุรวงศาวาส เข้าตรวจสอบบัญชีเงินวัด เบื้องต้น  ยืนยันไม่ใช่การบุกค้นกุฏิ พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาส พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา รักษาราชการแทนรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.), พ.ต.อ.สถาปนา จุณณวัตต์ ผู้กำกับการกองกำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธแห่งชาติแห่งชาติ เดินทางเข้าพบพระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เพื่อพูดคุยและขอข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารการเงินภายในวัด หลังอดีตเจ้าคุณประสิทธิ์ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาส เข้าไปพัวพันกับสีกากอล์ฟ และตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคำให้การของพยาน ที่พบเงินถูกพับในลักษณะถูกนำออกมาจากตู้บริจาคในบ้านของสีกากอล์ฟ ซึ่งการตรวจสอบในวันนี้จะเน้นเรื่องเส้นทางการเงินของวัดทั้งหมด ที่ต้องสงสัยว่าอาจมีบางส่วนถูกยักยอก หลังการตรวจสอบ ผู้กำกับการ 6 บก.ปปป. กล่าวว่า ไม่สามารถที่จะเปิดเผยข้อมูลได้ ผู้บังคับบัญชาจะเป็นผู้ชี้แจง หลังจากนี้จะนำข้อมูลต่างๆ กลับไปเรียนให้ผู้บังคับบัญชาได้ทราบ แต่ยืนยันว่า วันนี้เป็นเพียงแค่การเข้ามาขอข้อมูลเท่านั้น ด้านเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติระบุว่า เป็นเพียงการบูรณาการของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง และในการตรวจสอบเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหารแต่อย่างใด มีรายงานเพิ่มเติมว่าเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 หน่วยงาน ได้นำกำลังส่วนหนึ่งเข้าไปตรวจสอบที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย หรือ […]

ข่าวแนะนำ

กต.ประณามกัมพูชาใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ขัด กม.ระหว่างประเทศร้ายแรง

ก.ต่างประเทศ 20 ก.ค. – กต.ประณามกัมพูชาอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซัดขัด กม.ระหว่างประเทศร้ายแรง ละเมิดอธิปไตยไทย จี้ให้ความร่วมมือเก็บกู้ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ อ่านแถลงการณ์เรื่องการประท้วงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกัมพูชา ซึ่งเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ บริเวณช่องบก ชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดศรีสะเกษ จนเป็นเหตุให้กำลังพลของไทยได้รับบาดเจ็บ ว่า ตามที่เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 6021 รวม 3 นาย ซึ่งทำการลาดตระเวนตามปกติ ในดินแดนของไทย บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลนั้น รัฐบาลไทยได้รับรายงานจากหน่วยงานความมั่นคงว่า ภายหลังการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรากฏหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ทุ่นระเบิดที่พบ ไม่มีการใช้ หรือมีอยู่ในคลังอาวุธของไทย และเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ เมื่อประกอบกับการประมวลข้อมูล และหลักฐานสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่หน่วยงานความมั่นคงตรวจพบ นำไปสู่การสรุปได้ว่า เป็นการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง รัฐบาลไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ อีกทั้งยังเป็นการกระทำที่ละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างชัดเจน ไทยในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาฯ จะดำเนินการตามกระบวนการภายใต้อนุสัญญาฯ โดยจะยังคงหาทางแก้ปัญหากับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคีต่าง […]

มทภ.2 ยินดีเขมรขนคนเที่ยวโบราณสถานไทย เตือนเคารพกฎ

20 ก.ค.- แม่ทัพภาค 2 ฮึ่มป่วน “ปราสาทตาเมือนธม-ปราสาทตาควาย” เจอมาตรการเบาไปหนัก ยินดีเขมรขนคนมาชมสองโบราณสถานของไทย ส่วนโซเชียลรณรงค์คนไทยเจ้าบ้านใส่เสื้อไทยร่วมต้อนรับ เมื่อวันที่ 20 ก.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงกรณีกัมพูชาขนประชาชนกัมพูชาหลายรถบัสขึ้นมาเที่ยวปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควายของไทย ว่า รู้สึกยินดีและขอต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาและประเทศอื่น ๆ ที่มาท่องเที่ยว เยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควายของไทย ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กองทัพภาคที่ 2 กำหนดไว้ โดยได้จัดเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกและดูแลนักท่องเที่ยวให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ไม่ก่อความวุ่นวาย เพื่อให้นักท่องเที่ยวทุกคนเข้าเยี่ยมชมได้ตามปกติ ทั้งนี้ ปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย เป็นโบราณสถานที่มีความสำคัญของไทยและมีประวัติศาสตร์มายาวนาน “หากนักท่องเที่ยวคนใดก่อเหตุวุ่นวาย เจ้าหน้าที่มีมาตรการจากเบาไปหาหนักดำเนินการ ดังนั้นขออย่าให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะนักท่องเที่ยวทุกคนเข้ามาเยี่ยมชมโบราณสถานของไทย ต้องเคารพกฎระเบียบของไทย” แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โซเชียลมีเดียมีการเผยแพร่ภาพคนไทย พร้อมข้อความภาษาไทยและภาษากัมพูชา ระบุว่า “รวมใจคนไทย ใส่เสื้อไทย ต้อนรับนักท่องเที่ยวกัมพูชา ด้วยรอยยิ้มและมิตรภาพจากเจ้าของบ้านตัวจริง” -สำนักข่าวไทย

ทบ.ส่งทหารช่างเก็บกู้ทุ่นระเบิดชายแดนไทย-กัมพูชา

20 ก.ค.- ทหารช่างปฏิบัติภารกิจเก็บกู้ทุ่นระเบิดพื้นที่ช่องบก ชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะที่กองทัพบกเตรียมมาตรการตอบโต้ทางทหารอย่างเหมาะสม จากกรณีทหารไทยประสบเหตุเหยียบกับระเบิด บาดเจ็บ 3 นาย ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนรักษาความสงบในพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ล่าสุดเช้านี้ (20 ก.ค. 68) กองทัพภาคที่ 2 เสริมกำลังทหารช่างลงพื้นที่ทันที เพื่อตรวจพื้นที่และเก็บกู้ทุ่นระเบิดตลอดแนวชายแดน โดยใช้ยุทโธปกรณ์หนัก รถแทรกเตอร์หุ้มเกราะ ชุดตรวจค้นทุ่นระเบิดชำนาญการ กำลังชุดทหารช่างตรวจค้นกวาดล้างทุ่นระเบิด (Mine Clearing) เขตทางพื้นที่สงสัยให้ปลอดภัย พร้อมใช้รถโกยตัก ถางขุดตอ และรถถากถางติดตั้งเกราะเหล็กป้องกันพลขับในการทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัย ปฏิบัติการดังกล่าว นอกจากดูแลความปลอดภัยของกำลังพลที่จะออกลาดตระเวนในพื้นที่เขตแดนไทยแล้ว ยังเป็นการเก็บหลักฐานเพื่อแสดงให้เห็นว่ากัมพูชามีพฤติการณ์ที่ขัดต่ออนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล แม้ทางฝ่ายกัมพูชาจะไม่ยอมรับ แต่กระทรวงการต่างประเทศ จะทำหนังสือเพื่อประท้วงอย่างเป็นทางการผ่านสหประชาชาติ (UN) และทางกองทัพบก จะมีมาตรการตอบโต้ทางทหารอย่างเหมาะสม.-สำนักข่าวไทย

พฐ.เตรียมตรวจสอบเหตุเพลิงไหม้โรงงานแปรรูปยางพารา

20 ก.ค.- เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเตรียมตรวจสอบเหตุเพลิงไหม้โรงงานแปรรูปยางพารา จ.บุรีรัมย์ เบื้องต้นไม่มีผู้บาดเจ็บ คาดเสียหายหลายสิบล้านบาท เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานรับซื้อและแปรรูปยางพาราขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ริมถนนสาย 24 โชคชัย-เดชอุดม ตำบลโคกม้า อ.ประโคกชัย จ.บุรีรัมย์ โดยต้นเพลิงเป็นโกดังเก็บยางพาราอัดแท่ง จัดว่าเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ทำให้เพลิงลุกไหม้รวดเร็วและรุนแรง ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตอนเกิดเหตุช่วงแรก พนักงานช่วยกันดับแต่เอาไม่อยู่ จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ให้เข้าช่วยเหลือ ตำรวจ สภ.ประโคนชัย พร้อมเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ลงพื้นที่ตรวจสอบและประสานรถดับเพลิงกว่า 20 คัน เข้าฉีดสกัดนานกว่า 2 ชั่วโมง จึงคุมเพลิงให้อยู่ในวงจำกัดได้ แต่ยังต้องฉีดน้ำหล่อเลี้ยงไว้ตลอดป้องกันไม่ให้ไฟปะทุลามไปจุดอื่นในโรงงาน พร้อมเคลื่อนย้ายถังแก๊ส ถังน้ำมัน จากอาคารใกล้เคียงไปไว้ยังจุดปลอดภัย เบื้องต้นไม่มีพนักงานได้รับบาดเจ็บ ด้านนายจำเริญ แหวนเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่าแม้จะควบคุมเพลิงไว้ได้แล้ว แต่รถดับเพลิงก็ยังต้องฉีดน้ำเพื่อหล่อความเย็นจนกว่าไฟจะดับสนิท ส่วนสาเหตุเพลิงไหม้ยังไม่ทราบ ต้องรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้ามาตรวจสอบ สำหรับมูลค่าความเสียหายอยู่ระหว่างการประเมิน คาดหลายสิบล้านบาท ทั้งนี้ โรงงานดังกล่าวเคยเกิดเหตุไฟไหม้มาแล้ว เมื่อปี 63 -สำนักข่าวไทย