กรุงเทพฯ 24 ก.ค. – กลุ่ม ERS เตรียมยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีพลังงานใหม่ 6 ประเด็นเร่งแก้ปัญหาพลังงาน เน้นประเด็นร้อน “คลัง LNG มาบตาพุดเฟส 3-ไอพีพีตะวันตก” ส่อเอื้อประโยชน์เอกชน บั่นทอนธรรมาภิบาลภาครัฐ
วานนี้ (23 ก.ค.) กลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืนหรือ ERS จัดงานครบรอบ 5 ปี เสวนาหัวข้อ 5 ปี ERS : “ทิศทางประเทศไทย ทิศทางพลังงานไทย” ที่หอประชุมสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีแกนนำกลุ่มฯ เช่น นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ นายคุรุจิต นาครทรรพ นายมนูญ ศิริวรรณ นายพรายพล คุ้มทรัพย์ และนายทวารัฐ สูตะบุตร มาร่วมงานก่อนยื่นจดหมายเปิดผนึกต่อนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่
นายปิยสวัสดิ์ เปิดเผยว่า ช่วง 5 ปีที่ผ่านมากลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืนได้ชี้แจงข้อเท็จจริง พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับประชาชน กลุ่มบุคคล และองค์กรวิชาชีพที่หลากหลาย ทำให้มีการนำข้อเสนอของ ERS หลายข้อไปปฏิบัติ อีกทั้งสามารถยับยั้งนโยบายที่อาจมีผลเสียอย่างมากต่อประเทศระยะยาว
ส่วนมุมมองต่อรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ERS เห็นว่าได้มีการวางนโยบายแก้ไขปัญหาและปฏิรูปพลังงานหลาย ประการที่เป็นไปในทิศทางที่ดีและสอดคล้องกับข้อเสนอหลายข้อของ ERS ที่เคยเสนอไว้ต่อสาธารณชน ทำให้เกิดความมั่นคง อาทิ การเปิดประมูลการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย 2 แหล่งใหญ่ ที่สัมปทานปิโตรเลียมใกล้จะหมดอายุ (กลุ่มแหล่งก๊าซเอราวัณและกลุ่มแหล่งก๊าซบงกช) นอกจากนี้ ยังมีการออก พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง การแก้ไข พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้าให้ครอบคลุมรัฐวิสาหกิจ การเปิดให้บุคคลภายนอกใช้ท่อก๊าซธรรมชาติและลดการถือหุ้นของ ปตท.ในโรงกลั่นน้ำมัน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ภาคพลังงานไทยยังมีปัญหาหลายประการที่ควรได้รับการแก้ไข เพราะหากทิ้งไว้จะทำให้มีความอ่อนแอลงและมีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและฐานะการเงินระหว่างประเทศของไทย อาทิ ธรรมาภิบาลด้านบริหารจัดการนโยบายพลังงานที่ยังมีจุดที่ก่อให้เกิดข้อสงสัย เนื่องจากเอกชนบางรายได้ประโยชน์จากนโยบายและการตัดสินใจของหน่วยงานภาครัฐ เช่น การอนุมัติต่ออายุและสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ภาคตะวันตก 2 โรง (1400 MW) แทนโรงเดียว (700 MW) ที่หมดอายุลงโดยไม่มีการประมูล และการเปิดประมูลสร้างท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 ที่มีการเพิ่มคลังรับก๊าซ LNG โดยไม่เชื่อมโยงกับแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติที่สอดคล้องกับแผน PDP 2018 ในส่วนของราคาพลังงานยังมีการอุดหนุนราคาพลังงานบางประเภทแบบ Cross Subsidies ในระดับสูง ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคบางส่วนและไม่สร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตปรับปรุงประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเชื้อเพลิงชีวภาพที่ต้นทุนการผลิตยังสูงเกินควร
ทั้งนี้ ERS เสนอว่าหากรัฐบาลจะใช้ดุลพินิจและทำให้ประชาชนทั่วไปและผู้กำหนดนโยบายส่วนใหญ่มีความเข้าใจถึงสถานการณ์ที่แท้จริงมากขึ้น ให้สิทธิประโยชน์แก่เอกชนรายใด เช่น การก่อสร้างโรงไฟฟ้า โดยที่ไม่มีการประมูลแข่งขันในการให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐ เช่น ราคาขายไฟฟ้า ก็ควรจะอธิบายว่าการเลือกปฏิบัตินั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะและผู้บริโภคอย่างไร ทำนองเดียวกันการประกาศเงื่อนไขการประมูล (TOR) ก็ควรมีความเป็นกลาง ไม่เอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งด้วยเช่นกัน
ด้านธรรมาภิบาล ERS ยังมีข้อเสนอให้ปรับปรุงโครงสร้างการบริหาร อาทิ แก้ไข พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2562 เพื่อแยกการกำหนดนโยบาย การกำกับดูแลและการดูแลผลประโยชน์ของรัฐในฐานะของผู้ถือหุ้นออกจากกันอย่างแท้จริงเหมือนในประเทศพัฒนาแล้ว และเห็นว่าในช่วงที่ผ่านมามีการเปิดให้บุคคลที่ 3 ใช้ระบบท่อก๊าซ ปตท.แล้ว เพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้าได้ประโยชน์จากการแข่งขันดังกล่าว เพราะก๊าซส่วนใหญ่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า จึงเห็นควรเพิ่มการแข่งขันในกิจการผลิตไฟฟ้า เพื่อให้การผลิตไฟฟ้ามีประสิทธิภาพสูงขึ้นและต้นทุนต่ำลง โดยส่งผ่านราคาค่าไฟฟ้าที่เป็นธรรมให้ผู้บริโภค สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่ระบบผลิตไฟฟ้าจะเปลี่ยนแปลงสู่ระบบกระจายศูนย์อย่างรวดเร็วในอนาคต และส่งเสริมการผลิตเองใช้เองของผู้บริโภค (Prosumer)
ERS เสนอให้ปรับโครงสร้าง กฟผ. โดยยังคงให้ควบคุมระบบสายส่ง ศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า (System Operator) และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ และให้จัดกลุ่มโรงไฟฟ้าอื่น ๆ ของ กฟผ. เป็นหน่วยงานอิสระเพื่อเตรียมความพร้อมในการแข่งขันกับเอกชนที่เปิดกว้างและโปร่งใส อันจะเป็นโอกาสทางธุรกิจต่อไปในอนาคต ขณะเดียวกันทำให้การรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าต่าง ๆ การเชื่อมโยงระบบและการสั่งเดินเครื่องมีความเที่ยงธรรมอย่างแท้จริงและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อผู้บริโภคและความเข้มแข็งโดยรวมของเศรษฐกิจไทย
นอกจากนี้ ยังเสนอให้เตรียมการเปิดให้บุคคลที่ 3 ใช้ระบบสายส่งไฟฟ้าและปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าให้มีการแข่งขัน โดยให้ผู้ใช้ไฟฟ้ามีทางเลือกในการซื้อไฟฟ้า (Retail Competition) โดยริเริ่มโครงการนำร่อง (sandbox) ให้มีการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Technology เช่น Block Chain) เพื่อเอื้อให้เกิดนวัตกรรมในการผลิตและการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ อาจเริ่มจากผู้ใช้ไฟฟ้าในเขตนิคมอุตสาหกรรม หรือหมู่บ้านจัดสรรที่มีความพร้อม และระยะต่อไปจึงเปิดให้มีการแข่งขันเต็มรูปแบบ
ส่วนน้ำมันเชื้อเพลิง ERS เห็นว่ารัฐบาลควรใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรักษาเสถียรภาพของราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศเฉพาะเมื่อมีวิกฤติราคาน้ำมันในตลาดโลกและใช้ในช่วงเวลาสั้น ๆ การส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพ ควรให้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 กับน้ำมันไบโอดีเซล B10 เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงหลักของประเทศ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ และลดการนำเข้า โดยทยอยลดการอุดหนุนเชื้อเพลิงชีวภาพ ภายในช่วงเวลาที่ พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 กำหนด โดยมีเป้าหมายให้ภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับเชื้อเพลิงชีวภาพในตลาดโลกได้ ERS เห็นควรเลิกการอุดหนุนแบบถาวรในน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพชนิด E85 และ B20 เนื่องจากไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคกลุ่มอื่นที่ต้องรับภาระจ่ายเงินเข้ากองทุน และไม่ส่งเสริมให้ผู้ผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของตนเองให้แข่งขันได้
การกำหนดนโยบายรัฐด้านต่าง ๆ ควรคำนึงมิติด้านพลังงานเสมอ และ ERS เห็นควรให้มีผู้แทนจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่หลากหลายมีส่วนร่วมในการเสนอนโยบายพลังงานมากขึ้น รวมทั้งผลักดันการเข้าร่วมในกลุ่มภาคีเพื่อสร้างความโปร่งใสในกิจการสำรวจและผลิตทรัพยากรธรรมชาติ (ปิโตรเลียมและสินแร่) Extractive Industries Transparency Initiative: หรือ EITI ที่ประเทศไทยเข้าร่วมตั้งแต่ปี 2558 ให้นำไปสู่ขั้นปฏิบัติให้ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมในคณะกรรมการไตรภาคีของผู้มีส่วนได้เสีย
นอกจากนั้น ERS เห็นว่าการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นปัญหาสำคัญที่ทุกประเทศต้องร่วมมือกันแก้ไข แต่มาตรการตามข้อตกลง COP21 ก็ยังไม่เพียงพอที่จะรักษาอุณหภูมิของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกินกว่า 1.5-2.0 องศาเซลเซียส ประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมรับกับมาตรการระดับโลกในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกที่จะมีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น นโยบายการกระจายแหล่งเชื้อเพลิงจึงควรคำนึงถึงข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคต เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงกติกาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตภายใต้กรอบของ UNFCCC
โดยสรุปทางกลุ่มฯ เสนอแนวทางปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืนฉบับเต็มที่เตรียมยื่นเป็นจดหมายเปิดผนึกให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ ประกอบด้วย 1.การปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ที่ราคาพลังงานประเภทต่าง ๆ ควรสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง 2.เพิ่มการแข่งขันและประสิทธิภาพในธุรกิจพลังงานเพื่อไม่ให้มีการเอาเปรียบผู้บริโภค 3.ลดการแทรกแซงโดยมิชอบและแสวงหาประโยชน์ในกิจการพลังงานที่รัฐถือหุ้น และการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนของเจ้าหน้าที่ของรัฐ 4.กระบวนการในการกำหนดนโยบาย 5. การสำรวจ พัฒนาและจัดหาแหล่งพลังงาน และ 6.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานควรเตรียมรับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีของโลก และแก้ข้อสงสัยเรื่องการเอื้อประโยชน์เอกชนซึ่งบั่นทอนธรรมาภิบาลภาครัฐให้เป็นวาระเร่งด่วน.-สำนักข่าวไทย
