คลัง 20 ก.ค.-ผู้แทนไอเอ็มเอฟ เข้าพบ รมว.คลัง เชื่อฐานะการเงินไทยมั่นคง รองรับเศรษฐกิจโลกผันผวน คาดเศรษฐกิจไทยยังโตได้ดี แจงนโยบาย พปชร.คือปรับโครงสร้างภาษีไม่ได้หมายถึงลดภาษี
นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 ก.ค.62 คณะผู้แทนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้เข้าพบเพื่อรายงานผลการประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยประจำปี 62 โดยทางไอเอ็มเอฟระบุว่า เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ดีจากการบริโภคภาคเอกชน แม้ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก และความขัดแย้งทางการค้าสหรัฐฯ – จีน และไทยมีฐานะการเงินระหว่างประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง จึงเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยรองรับจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้
นอกจากนี้ไอเอ็มเอฟ ยังมองว่าการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนของไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี หลังมีความชัดเจนทางการเมืองและการลงทุนภาครัฐที่เป็นรูปธรรม แต่ไทยควรเฝ้าระวังความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงแนะนำให้ไทยเร่งรัดการลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)
“IMF ชื่นชมนโยบายการคลังของไทย โดยเฉพาะการออกกฎหมายพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 เพื่อกำหนดกรอบวินัยทางการเงินการคลัง และยังสนับสนุนนโยบายสวัสดิการสังคมแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย ผ่านโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีผู้มีรายได้น้อย ที่รับประโยชน์กว่า 14.6 ล้านคน ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ20 ปี และประเทศไทย 4.0”รมว.คลัง กล่าว
นายอุตตมกล่าวว่า ได้ชี้แจงแผนนโยบายการคลังของไทยในระยะต่อไป จะสนับสนุนการลงทุนในโครงการอีอีซี รวมทั้งยกระดับโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ทั้งระบบรถไฟถนน ท่าเรือ และสนามบินต่าง ๆซึ่งปัจจุบัน ไทยได้ปรับปรุงกฎหมายการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (พีพีพี) เพื่อดึงดูดการลงทุนภาคเอกชนในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ แล้ว นอกจากนี้จะเร่งปรับโครงสร้างภาษีในภาพรวมและพัฒนาระบบภาษีให้เป็นธรรมมากขึ้น ตลอดจนการสนับสนุนกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี และกลุ่มผู้ประกอบการใหม่ๆ โดยมีการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งอนาคตที่มีทักษะขั้นสูง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดในวันที่ 20 ก.ค.62 นายอุตตม ยังได้โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัว เตรียมเร่งสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ทั้งการเกษตร เอสเอ็มอี และแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมให้เป็นนโยบายเร่งด่วน พร้อมกับเดินหน้าโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพราะเป็นโครงการที่ประชาชนได้รับประโยชน์ อย่างไรก็ตามจะต้องบริหารจัดการการเงินการคลังอย่างมีวินัยการคลังด้วย เพื่อใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่า ควบคู่ไปกับแผนการจัดหาเงินรายได้เข้ามา
ส่วนนโยบายการปรับลดภาษีบุคคลธรรมดา ที่มีการสอบถามว่าอาจจะมีการเลื่อน หรือมีการออกข่าวว่าไม่ทำแล้วนั้น นายอุตตมระบุว่า ไม่ใช่ข่าวที่ถูกต้อง พร้อมอธิบายเพิ่มว่า นโยบายด้านภาษีของพลังประชารัฐที่หาเสียงไว้ ไม่ได้หมายถึงการลดภาษีเป็นตัวเงินตรงๆ แต่หมายถึงการทบทวนโครงสร้างภาษี เพราะว่ายังมีความเหลื่อมล้ำสูงอยู่ เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคลกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่มีอัตราจัดเก็บห่างกันพอสมควร คือ 35 % กับ 25% จึงควรปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม และต้องให้ทุกฝ่ายมาพิจารณาในรายละเอียดร่วมกัน
สำหรับการปรับโครงสร้างภาษี เตรียมพิจารณาอย่างแน่นอน และต้องให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำ อัตราที่ห่างกันระหว่างภาษีบุคคลธรรมดา กับนิติบุคคล ควรลดลง แต่การดำเนินการทั้งหมดทั้งมวล จะอยู่ภายใต้กรอบแนวคิดการบริหารการเงินการคลังอย่างมีวินัย และเน้นประสิทธิภาพ-.สำนักข่าวไท