กรมสุขภาพจิต 10 ก.ค.-อธิบดีกรมสุขภาพจิต แนะหลักปฐมพยาบาลทางใจ 3 ส.ให้เพื่อน ครู ผู้ปกครอง ร่วม ‘สอดส่องมองหา-ใส่ใจรับฟัง-ส่งต่อ เชื่อมโยง’ เพื่อช่วยเหลือป้องกันนักเรียนฆ่าตัวตายในสถาบันการศึกษา พร้อมย้ำการฆ่าตัวตายเกิดได้จากหลายสาเหตุ สื่อไม่ควรด่วนสรุป
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณีเด็กนักเรียนชายอายุ 15 ปีชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ตกลงจากอาคารเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง จ.ปราจีนบุรี ได้รับบาดเจ็บและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตในเวลาต่อมา เมื่อวันที่ 9 ก.ค.2562 โดยในข่าวระบุว่า ก่อนเกิดเหตุคาดว่า เด็กเครียดและมีอาการซึมเศร้า และในวันที่เกิดเหตุเป็นวันสอบกลางภาควันแรกนั้น ทางกรมสุขภาพจิต ขอวอนสื่อมวลชนว่า ในการนำเสนอข่าวเรื่องการฆ่าตัวตายของนักเรียนหรือวัยรุ่นที่อยู่ในวัยเรียนก็ตามไม่ควรด่วนตัดสินว่าเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งอย่างทันที เนื่องจากข้อมูลทางวิชาการยืนยันว่า การฆ่าตัวตายไม่ได้เกิดมาจากสาเหตุเดียวยังมีปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องและเป็นสาเหตุได้ เช่น ปัจจัยส่วนตัว ปัจจัยเรื่องความสัมพันธ์ เป็นต้น จึงควรให้ผู้เกี่ยวข้องหรือผู้เชี่ยวชาญหาสาเหตุตามหลักวิชาการ และไม่ควรนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายโดยละเอียด เพื่อป้องกันการเลียนแบบในผู้ที่กำลังมีปัญหา
สำหรับการดำเนินการเรื่องนี้ ทางกรมสุขภาพจิต โดย รพ.จิตเวชสระแก้วราชนครินทร์และศูนย์สุขภาพจิตที่6 ได้ประสานการดำเนินงานกับทีมในพื้นที่สาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรีเบื้องต้นแล้ว ภายใต้ระบบการเยียวยาจิตใจของงานวิกฤตสุขภาพจิต
อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาจะเห็นข่าวการฆ่าตัวตายเกิด ขึ้นมากในประเทศไทยและเป็นที่สนใจของสังคม หากพิจารณาถึงข้อเท็จจริงของอัตราการฆ่าตัวตายของคนกลุ่มวัย10-24 ปี จะครอบคลุมวัยเรียนทั้งช่วงระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา และอาจรวมถึงผู้ที่เริ่มต้นชีวิตการทำงานเป็นช่วงแรกของชีวิต พบว่าอัตราการฆ่าตัวตายของคนกลุ่มนี้ในปี 2561อยู่ที่ 3.03 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน หรือคิดเป็นจำนวน 397 คน ซึ่งเมื่อเทียบกับวัยอื่นในภาพรวมของประเทศ ที่มีอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 6.34 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน อาจถือว่าคนไทยในวัย10-24 ปี มีอัตราการฆ่าตัวตายน้อยกว่าในวัยทำงานและวัยสูงอายุ แต่เนื่องจากที่ผ่านมา สังคมค่อนข้างให้ความสนใจในกลุ่มวัยรุ่น เนื่องจากสังคมมีความสะเทือนใจ และเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมรู้สึกสูญเสียมาก เพราะเป็นทรัพยากรสำคัญของประเทศที่มีคุณค่า
ทั้งนี้ กรมสุขภาพจิตขอแนะนำให้มีกระบวนการช่วยเหลือนักเรียนที่อาจมีปัญหาสุขภาพจิตในโรงเรียน เช่น ให้เน้นความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องทักษะชีวิตในชั่วโมงเรียน การมีระบบอาจารย์ที่ปรึกษาที่นักเรียนรู้สึกว่าเข้าถึงได้ง่าย มีระบบเพื่อนช่วยเพื่อน การสังเกตพฤติกรรมในโรงเรียนที่มีความเสี่ยง เป็นต้น
นอกจากนี้ แนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาภาวะซึมเศร้าและการฆ่าตัวตายในกลุ่มเด็กและวัยรุ่นสามารถป้องกันได้ โดยใช้หลักการปฐมพยาบาลทางใจ 3 ส.คือ1.สอดส่องมองหา 2.ใส่ใจรับฟัง และ 3. ส่งต่อ เชื่อมโยง หากคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นเพื่อน อาจารย์ที่ปรึกษา คนใกล้ชิด รวมทั้งครอบครัว ให้ช่วยกันสังเกตอาการและพฤติกรรมที่ผิดปกติหรือที่บ่งบอกว่าเครียด ได้แก่ เหม่อลอย เก็บตัว แยกตัว ไม่ร่าเริงแจ่มใส ไม่สนุกสนานเหมือนเดิม ต้องรีบเข้าไปพูดคุยร่วมกันหาสาเหตุ รับฟังปัญหาอย่างเข้าใจและใส่ใจ ให้การช่วยเหลือ ให้คำปรึกษา หรือส่งต่อให้แพทย์ ได้อย่างทันท่วงที .-สำนักข่าวไทย