ร้อยเอ็ด 26 มิ.ย.- ผกก.สภ.เมืองร้อยเอ็ด บุกช่วยเด็กชายวัย 3 ขวบ ถูกพ่อเมายาชิงตัวจากศูนย์เด็กเล็ก ใช้กรรไกรจี้คอเป็นตัวประกัน
เมื่อเวลา 16.00 น.วานนี้ (26 มิ.ย.) ตำรวจภูธรจังหวัดร้อยเอ็ดได้รับแจ้งเหตุชายคลุ้มคลั่งจับลูกชายเป็นตัวประกัน ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณริมถนนฝั่งขาเข้าตัวเมืองร้อยเอ็ด ถนนสายร้อยเอ็ดไป อ.วาปีปทุม พบผู้ก่อเหตุเป็นชายไม่สวมเสื้อ สวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียว ขับขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าเวฟสีน้ำเงิน ทะเบียนร้อยเอ็ด โดยมีเด็กชายนั่งอยู่ด้านหน้า ผู้ก่อเหตุมีอาการเหม่อลอย ขี่รถจักยานยนต์มือเดียว มืออีกข้างกอดเด็กไว้ พร้อมกับถือกรรไกรปลายแหลมจี้เด็กอยู่ ก่อนหน้านี้ชายคนดังกล่าวนำตัวเด็กออกมาจากศูนย์เด็กเล็ก อบต.ขอนแก่น ตำรวจจึงไล่ติดตามมา ตะโกนเรียกให้หยุด แต่กลับไม่ยอมหยุดรถ กลับเลี้ยวรถหนี
ต่อมาผู้ก่อเหตุได้จอดรถริมถนน พ.ต.อ.พัทฐกร ศาสนะสุพินธ์ ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมพลขับ จึงขับรถตามไป เมื่อดูจนมั่นใจว่า ผู้ก่อเหตุไม่มีอาวุธอื่น นอกจากกรรไกร จึงวางแผนให้พลขับกลับรถกระชับพื้นที่ปิดล้อมไว้ และวางแผนชิงตัวเด็ก ด้วยการวางแผนเข้าชาร์จ ล็อกคอผู้ก่อเหตุแล้วแย่งกรรไกรที่ใช้เป็นอาวุธ และวางแผนให้พลขับเป็นผู้ชิงตัวเด็ก จนสามารถช่วยออกมาได้ด้วยความปลอดภัย ก่อนที่ตำรวจสายตรวจและเจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงช่วยกันเข้าจับกุมตัวผู้ก่อเหตุเอาไว้ได้ ขณะที่เด็กส่งต่อให้ครูพี่เลี้ยงรับกลับไปดูแล เพื่อติดต่อแม่เด็กมารับกลับไป
จากการสอบสวนครูเวรประจำวันในเบื้องต้นทราบว่า ผู้ก่อเหตุคือ นายปิยะณัฐ พิมูลมี อายุ 30 ปี เป็นพ่อเด็ก ขับรถจักยานยนต์มารับลูกชายวัย 3 ขวบ ที่ศูนย์เด็กเล็กของ อบต.ขอนแก่น แต่พบว่ามีอาการเหม่อลอย มือถือกรรไกร ตะโกนว่า ให้ส่งลูกมา และพูดจาไม่รู้เรื่อง เลยเปลี่ยนใจจะอุ้มเด็กกลับ ปรากฏว่า นายปิยะณัฐ ได้เข้ามาแย่ง และกระชากเอาเด็กไปนั่งบนรถและล็อกคอ เอากรรไกรจี้คอเอาไว้ แล้วพาลูกขับรถออกมาจากศูนย์เด็กเล็กไป
ด้าน พ.ต.อ.พัทฐกร ศาสนะสุพินธ์ ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดร้อยเอ็ด เปิดเผยว่า หลังควบคุมตัวผู้ต้องหามาสอบปากคำ ผู้ก่อเหตุยังอยู่ในอาการเหม่อลอย พูดจาไม่รู้เรื่อง คาดว่าอาจจะเกิดจากการเสพยา จึงทำการตรวจปัสสาวะ พบว่าฉี่เป็นสีม่วง จึงควบคุมตัวมาที่โรงพักเพื่อสงบสติอารมณ์ โดยในเบื้องต้นตั้งข้อ 2 ข้อหา คือข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว และจับผู้อื่นเป็นตัวประกันด้วยการใช้อาวุธ และข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษโดยผิดกฎหมายไว้ก่อน และควบคุมตัวไว้จนกว่าจะได้สติแล้ว จึงจะสอบสวนปากคำต่อ พร้อมกับสอบสวนปากคำแม่ของเด็กถึงสาเหตุที่ชัดเจน ก่อนที่จะดำเนินในข้อหาอื่นเพิ่ม.-สำนักข่าวไทย