กรุงเทพฯ 4 มิ.ย. – รัฐมนตรีเกษตรฯ ระบุรัฐบาลกำหนดนโยบายให้ อปท.ทำถนนดินผสมยางพาราแทนถนนลูกรัง 300,000 กิโลเมตรทั่วประเทศ พร้อมสั่ง กยท.ทำแผนลดพื้นที่สวนยางปีละ 500,000 ไร่ เพื่อให้ผลผลิตยางในอนาคตไม่เกินปีละ 4 ล้านตัน รักษาสมดุลอุปสงค์-อุปทาน มั่นใจอนาคตราคายางพาราไทยมีเสถียรภาพแน่นอน
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ “สำนักข่าวไทย” ถึงแนวทางยกระดับราคายางพาราตามนโยบายของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จากเดิมรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศปี 2557 ขณะนั้นราคายางพาราตกต่ำมาก โดยยางแผ่นรมควันชั้น 3 ประมาณกิโลกรัมละ 30 กว่าบาท จนเกษตรกรร้องว่า “ยางพารา 3 โล 100 ไม่สามารถอยู่ได้” แม้ว่า คสช.จะใช้อำนาจยุบหน่วยงานองค์กรยางจาก 3 หน่วยเดิม ได้แก่ องค์กรสวนยาง สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง และสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร เป็น “การยางแห่งประเทศไทย” (กยท.) เมื่อเดือนกรกฎาคม 2558 มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มุ่งหวังให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพกว่าเดิม ถึงกระนั้นราคายางก็ยังไม่มีท่าทีที่จะขยับขึ้น กระทั่งใช้วิธีพยุงราคายางโดยร่วมกับประเทศผู้ส่งออกยางพาราอินโดนีเซียและมาเลเซียในเวทีสภาไตรภาคียาง ใช้มาตรการจำกัดการส่งออก (AETS) หวังผลลดปริมาณยางในตลาดโลกเหมือนโอเปกลดการผลิตน้ำมัน ก็ไม่สามารถทำให้ราคายางปรับสูงขึ้นได้
นโยบายตลาดนำการผลิต
นายกฤษฎา กล่าวว่า ได้นำนโยบาย “ตลาดนำการผลิต” มาเป็นแนวทางแก้ไข เริ่มต้นจากที่กระทรวงเกษตรฯ เป็นเจ้าภาพจัดงานจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ที่จังหวัดกระบี่และตรังในโครงการสร้างเสริมศักยภาพเพื่อขยายตลาดคู่ค้ายางพาราไทย ระหว่างผู้ประกอบกิจการยางพาราจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงกลุ่มประเทศตลาดใหม่ ได้แก่ เม็กซิโก เกาหลีใต้ ศรีลังกา อินเดีย ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา และอิหร่าน เป็นต้น กับกลุ่มสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางกว่า 30 สถาบัน ส่งผลให้มีการสั่งซื้อยางจากกลุ่มสถาบันเกษตรกรและ กยท. คิดเป็น 57% ของจำนวนบริษัททั้งหมดที่เข้าร่วมการจับคู่เจรจาธุรกิจ สั่งจองยางหลายประเภท ได้แก่ น้ำยางข้น ยางเครปขาว ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง เป็นต้น รวมปริมาณกว่าเดือนละ 58,000 ตัน หรือ 696,000 ตันต่อปี นับว่าประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง แล้วสั่งการให้ทูตเกษตรในต่างประเทศติดตามสถานการณ์ยางโลกโดยใกล้ชิดเพื่อแก้ไขปัญหาาราคายางพาราทุกระยะ
ส่งเสริมใช้ยางในประเทศ
ทั้งนี้ ยางพาราเป็นสินค้าเกษตรที่ส่งออกเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ผลผลิตยางพาราเฉลี่ย 4.5 ล้านตันต่อปี ใช้ในประเทศเพียงปีละ 500,000 ตันเท่านั้น ที่เหลือส่งออก โดยไทยเป็นผู้ส่งออกยางอันดับ 1 ของโลก แต่ปี 2556 ประเทศผู้ปลูกยางพารารายใหม่เริ่มส่งออกมากขึ้น จนสตอกยางในตลาดโลกมีปริมาณมากส่งผลให้ราคาตกต่ำ ประกอบกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงประเทศอุตสาหกรรมหลายประเทศ จึงหันไปใช้ยางสังเคราะห์ที่ทำจากน้ำมันแทนการใช้ยางธรรมชาติ เพราะราคาถูกกว่า จากการตรวจสอบข้อมูลยังพบว่า ยางที่ส่งออกประมาณ 4 ล้านตันต่อปี นำรายได้เข้าประเทศ 500,000 ล้านบาทนั้น ส่งออกโดยแปรรูปเป็นยางวัตถุดิบ ได้แก่ ยางแท่ง ยางก้อน และน้ำยางข้นถึง 85% มูลค่า 250,000 บาท ส่วนอีก 15% แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ แต่ได้มูลค่า 250,000 เท่ากันกับยางวัตถุดิบ จึงนำไปสู่แนวคิดที่ว่าหากส่งเสริมการใช้ยางในประเทศมากขึ้น โดยแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ ลดปริมาณการส่งออกยางวัตถุดิบ แล้วนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์จะเพิ่มมูลค่าแก่ยางพาราได้หลายเท่าตัว
จัดแคมเปญช้อปยางช่วยชาติ
นายกฤษฎา กล่าวว่า ได้ส่งเสริมให้มีการแปรรูปยางภายในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออก ซึ่งปี 2561-2562 ขอความร่วมมือกระทรวงการคลังจัดแคมเปญส่งเสริมการใช้ยางล้อที่ผลิตด้วยยางพาราในประเทศเพื่อนำไปลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งประชาชนสนใจนำรถไปเปลี่ยนยางล้อจากผู้ผลิตที่ร่วมโครงการจำนวนมาก ควบคู่กับนโยบายส่งเสริมการนำยางพาราไปแปรรูป นอกจากยางล้อแล้ว ยังมีถุงมือยาง รองเท้าเครื่องนอน สายพานลำเลียง แผ่นรองรางรถไฟ ท่อยาง อุปกรณ์จราจร บล็อคตัวหนอนสำหรับปูพื้นสนามกีฬา สนามเด็กเล่น และทางเท้า เป็นต้น โดยจูงใจทั้งบริษัทสัญชาติไทยและบริษัทจากต่างประเทศให้ลงทุนตั้งโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา ซึ่งรัฐจะมอบสิทธิประโยชน์ลักษณะเดียวกับการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
สั่งทำถนนดินผสมยางพารา 3 แสนกิโลเมตรทั่วประเทศ
สำหรับโครงการสร้างทำถนนพาราซอยซีเมนต์นั้น ขณะนี้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศได้อนุมัติเทศบัญญัติและข้อบัญญัติจังหวัดงบประมาณปี 2562 เพิ่มเติมให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และเทศบาลสามารถใช้งบท้องถิ่นทำถนนพาราซอยซีเมนต์ในพื้นที่ชนบทได้แล้ว ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ ดำเนินมาตรการระยะกลางและระยะยาว เพื่อกระตุ้นราคายางโดยเพิ่มสัดส่วนการใช้ยางภายในประเทศ ที่สำคัญ คือ โครงการสร้างถนนผสมยางพารา 1 หมู่บ้าน 1 กิโลเมตร ความยาวถนนดินลูกรังที่อยู่ในแผนปรับเป็นถนนดินซีเมนต์ปรับปรุงคุณภาพด้วยยางพาราไร้ฝุ่นระยะทางยาง 300,000 กิโลเมตร ซึ่งแต่ละท้องถิ่นจะทยอยจัดทำถนนผสมยางแทนถนนลูกรังปีละ 50,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ถนน 1 กิโลเมตรใช้ยางพารา 1.3 ตัน จึงคาดว่า ปริมาณการใช้ในโครงการสร้างถนนจะไม่ต่ำกว่าปีละ 1 ล้านตัน
ล่าสุดกระทรวงมหาดไทยสรุปว่าโครงการสร้างถนนผสมยางพาราปีงบประมาณ 2561 – 2562 ที่ดำเนินการแล้วมี 2,565 โครงการ ใช้น้ำยางข้น 29,554 ตัน และน้ำยางสด 3,078.87 ตัน นอกจากนี้ อปท. ยังนำยางพาราไปสร้างสนามกีฬาและสนามเด็กเล่นอีกด้วย สำหรับสนามกีฬาจัดทำแล้ว 72 โครงการ ส่วนสนามเด็กเล่น 29 โครงการ รวมปริมาณน้ำยางที่ข้นใช้ไปแล้ว 29,929.45 ตันและปริมาณน้ำยางสดที่ใช้ไปแล้ว 3,114.47 ตัน
จากมาตรการที่กล่าวมานั้นทำให้ราคายางพาราปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาน้ำยางสดล่าสุด (4 มิ.ย.) อยู่ที่ 50.90 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2561 ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 42.91 บาท ส่วนยางแผ่นรมควันชั้น 3 ล่าสุด ( 4 มิ.ย.) อยู่ที่ 55.89 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2561 ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 42.91 บาท
ตั้งเป้าผลผลิตยางไม่เกินปีละ 4 ล้านตัน
นายกฤษฎา กล่าวว่า หากมาตรการส่งเสริมการใช้ยางในประเทศมากขึ้น โดยแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ แล้วลดทั้งพื้นที่สวนยางและปริมาณการส่งออกยางวัตถุดิบ แล้วนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์จะเพิ่มมูลค่าแก่ยางพาราได้หลายเท่าตัว ซึ่งมั่นใจว่าราคายางจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากประเทศคู่ค้าสำคัญคือ จีน ตลอดจนประเทศผู้ผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปจากยางพาราอื่น ๆ จะต้องวางแผนสั่งซื้อยางวัตถุดิบจากตลาดล่วงหน้าที่สำคัญได้แก่ ตลาดไซคอม (สิงคโปร์) ตลาดโตคอม (ญี่ปุ่น) หากทราบว่าปริมาณยางวัตถุดิบในตลาดโลกจะลดลง ผู้ผลิตเหล่านี้ต้องซื้อไปเก็บสตอกไว้เป็นปัจจัยให้ราคาซื้อขายทั้งในตลาดล่วงหน้าสูงขึ้น ส่งผลให้ราคารับซื้อในประเทศสูงตามไปด้วย ทั้งนี้ แผนงานของกระทรวงเกษตรฯ ที่วางไว้ทั้งหมดมุ่งหวังที่จะลดผลผลิตยางในอนาคต ให้ไม่เกิน 4 ล้านตันต่อปี ทำให้ราคายางพาราของไทยมีเสถียรภาพอย่างยั่งยืน.-สำนักข่าวไทย