กทม.17 พ.ค.-สายด่วนปรึกษาเรื่องเอดส์และท้องไม่พร้อม เผยในรอบ 6 เดือนของปีนี้ให้คำปรึกษาผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อมแล้วกว่า 1 หมื่นคน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึงร้อยละ30 ฝาก 4 ข้อเสนอถึงผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม-หน่วยงานรัฐ-สื่อ ร่วมแก้ปัญหา
นายสมวงศ์ อุไรวัฒนา รองผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์และผู้รับผิดชอบโครงการสายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อม1663 ให้ความเห็นถึงกรณีที่เด็กหญิงอายุ 15 ปีคลอดเด็กออกมาแล้วนำไปฝังดิน ว่าเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ว่าจะเป็นการตกเลือด หรือบาดเจ็บจากการทำแท้งเถื่อน หรือการนำซากทารกไปทิ้งไว้ตามที่ต่างๆ เป็นผลจากการที่สังคมไทยยังไม่มีทางออก หรือทางเลือกที่มากพอให้กับผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อม ซึ่งทำให้คนเหล่านั้นอยู่ในภาวะทางตัน ไร้ทางออก
สำหรับสาเหตุจากสังคมไทยมีทัศนะต่อเรื่องเพศสัมพันธ์ของเด็กและผู้หญิงที่ตั้งท้องไม่พร้อมในเชิงลบ ทัศนคติเหล่านี้ไม่เอื้อให้เกิดการวางระบบบริการที่ดีพอที่จะช่วยเหลือผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อมให้มีทางเลือกและทางออกได้ รวมถึงไม่เตรียมตัวเด็กให้ได้เรียนรู้เรื่องเพศศึกษาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต ทำให้เมื่อเด็กประสบปัญหาจึงไม่มีทางออก ไม่เกิดการช่วยเหลือ
พร้อมให้ข้อมูลว่าในรอบ6เดือนที่ผ่านมาสายด่วนปรึกษาเรื่องเอดส์และท้องไม่พร้อมให้คำปรึกษาผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อมไปแล้ว 11,085 คน มากกว่าในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วประมาณร้อยละ 30 เป็นเด็กที่อายุต่ำกว่า 20 ปี 4,431 คน หรือคิดเป็น ร้อยละ 28.58 ของคนที่ประสบปัญหาท้องไม่พร้อม นอกจากนี้คนที่มารับคำปรึกษายังมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ทางด้านนายนิมิตร์ เทียนอุดม ผอ.มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวถึงข้อเสนอ 4 ข้อ 1.ผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมต้องใช้มาตรการช่วยเหลือเยียวยาให้กับเด็กมากกว่าการลงโทษ 2.ปัจจุบันมี พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ.2559 มีสาระสำคัญในการช่วยเหลือเด็ก และกำหนดโดยกฎกระทรวงว่า เด็กวัยรุ่นสามารถเข้าถึงการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยได้ตามกฎหมาย หน่วยงานรัฐในฐานะที่รับผิดชอบต้องทำให้การยุติการตั้งครรภ์เป็นหนึ่งในทางเลือกที่เข้าถึงได้ง่าย เป็นจริง เพื่อให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้
3.กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ต้องลดเงื่อนไขในการยกบุตรให้กับสถานสงเคราะห์ลง โดยคนที่ท้องไม่พร้อมสามารถยกบุตรให้ได้โดยไม่จำเป็นต้องเปิดสถานะตัวเองและไม่ต้องมีเงื่อนไขใดๆ เช่น เลี้ยงดูบุตรด้วยตนเองก่อนสักระยะ เป็นต้น รวมถึงต้องให้มีศูนย์ฝากเลี้ยงเด็กที่สอดคล้องกับปัญหาของผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อมในทุกจังหวัด และ 4.สื่อมวลชนต้องหยุดใช้คำที่มีอคติ เช่น แม่ใจยักษ์ แม่ใจโหด ใจแตก แต่ควรนำเสนอให้เห็นสภาพปรากฏการณ์ที่เป็นข้อเท็จจริงและสภาพปัญหามากกว่าการใช้คำที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด และการตีตราต่อคนที่ท้องไม่พร้อม
“เด็กและวัยรุ่นที่ประสบปัญหาท้องไม่พร้อม อย่าช้า นิ่งเฉย ให้รีบปรึกษาบริการที่เป็นมิตรที่มีอยู่ตามโรงพยาบาลของรัฐทุกแห่งทั่วประเทศ หรือรีบโทรสายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อม 1663 ได้ทุกวัน”นายนิมิตร์กล่าว .-สำนักข่าวไทย