จุรินทร์นั่งหัวหน้าปชป.คนใหม่

กรุงเทพฯ 15 พ.ค.- “จุรินทร์” คว้าชัยนั่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ 8 ตอนเลือกวุ่นเล็กน้อย ต้องลงคะแนนสองรอบ หลังเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ กกต.มีปัญหา พบโหวตเตอร์บางราย ทำผิดกติกา ถ่ายรูปสลิปลงคะแนนเป็นหลักฐาน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อเลือกหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยเริ่มต้นจากคณะกรรมการจัดการเลือกตั้งของพรรคที่มีนายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ เป็นประธาน ได้เริ่มอธิบายถึงขั้นตอนการเลือกหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรค จากนั้นเปิดให้มีการเสนอชื่อผู้เสนอตัวเป็นหัวหน้าพรรค

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตส.ส.ประจวบคีรีขันธ์  เสนอชื่อ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์  เป็นหัวหน้าพรรค นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ ส.ส.ตาก เสนอชื่อ นายกรณ์ จาติกวณิช น.ส.รัชดา ธนาดิเรก อดีตส.ส.กทม.เสนอชื่อนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน และนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี เสนอชื่อ นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค จากนั้นที่ประชุมได้ให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อทั้ง 4 คน จับสลากหมายเลขเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ โดยผู้ที่ได้หมายเลขที่ 1 คือ นายอภิรักษ์ หมายเลข 2 นายจุรินทร์ หมายเลข 3 นายพีระพันธ์ และหมายเลข 4 นายกรณ์ ซึ่งทั้งหมดจะมีเวลา 15 นาทีในการแสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุม และมีการถ่ายทอดสดผ่านเฟสบุ๊กไลฟ์ของพรรคด้วย


นายอภิรักษ์ กล่าวว่า  วันนี้หลายคนถามทำไมลงสมัครหัวหน้าพรรค อาจมีคำถามว่าตนไม่ได้สมัครส.ส.แต่อาสาเป็นหัวหน้าพรรคจะทำงานได้หรือ ตนเห็นว่าถ้ามองวิกฤตเป็นโอกาสวว่าการที่พรรคได้รับการสนับสนุนส.ส.น้อยลงจำนวนมาก เป็นเหตุผลที่ตนตัดสินใจว่าวิกฤตเป็นโอกาสที่จะรวมพลัง ตั้งใจทำงานร่วมกับทุกคนฟื้นฟูพรรค จะใช้เวลาทั้งหมดทำงานร่วมกับอดีตส.ส. สาขา ต่อยอดอุดมการณ์พรรค ปรับปรุงให้พรรคร่วมสมัยเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลก  โดยการดึงพลังของทุกคนมาร่วมกันทำงานโดยไม่แบ่งแยก มีเป้าหมายร่วมกันในการทำงานให้พรรคประชาธิปัตย์ และการเปลี่ยนแปลงยังต้องยึดมั่นอุดมการณ์ของพรรค ซึ่งต้องทำให้เข้าถึงประชาชนมากขึ้นผ่านการสื่อสารสมัยใหม่

“วันนี้เราได้รับเลือกตั้งน้อยลงกว่าคราวที่แล้วเยอะมาก จะชนะเลือกตั้งได้อย่างไร ผมลงสมัครผู้ว่ากทม.สองครั้งชนะทั้งสองครั้ง และเป็นรองหัวหน้าพรรคกทม.ได้ส.ส.กทม. 28 ที่นั่ง ทำให้ประชาธิปัตย์เป็นพรรคของคนไทยทั้งประเทศ ผลักดันให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า การเลือกตั้งครั้งนื้มีความสำคัญมากเพราะเป็นการกำหนดอนาคตประชาธิปัตย์ว่าจะเปลี่ยนจนชนะการเลือกตั้งกลับมาครองใจประชาชนอีกครั้งหนึ่งได้หรือไม่ ผมขอเสนอตัวให้เลือกอภิรักษ์พรรคเปลี่ยน” นายอภิรักษ์ กล่าว

ด้านนายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนร่วมอุดมการณ์กับพรรคมาอย่างน้อย 33 ปี ถ้านับจากวันที่เป็นส.ส.ปี 2529 เป็นรัฐมนตรีมาหลายกระทรวงโดยมีโอกาสได้เป็นรองหัวหน้าพรรคตั้งแต่ปี 2546  ที่บอกสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพราะเก่งหรือดี แต่มีวันนี้เพราะมีโอกาส และนี่คือสิ่งที่ตนตระหนักว่าโอกาสคือสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับทุกคน สิ่งที่อยากบอกคือถ้าตนได้รับโอกาสเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะหยิบยื่นสิ่งเหล่านี้ให้ทุกคนที่ตั้งใจทำงานทุ่มเทเสียสละให้พรรคโดยไม่จำเป็นว่าต้องอยู่ฝ่ายไหน หรือเป็นเด็กของใคร นี่เป็นคำสัญญาที่ขอให้ไว้ มีหลายคนถามว่าถ้าเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะมีอะไรเปลี่ยนหรือไม่ ขอเรียนว่าประชาธิปัตย์ถึงเวลาต้องเปลี่ยน และต้องเปลี่ยนอย่างมีวุฒิภาวะ อะไรดีต้องรักษาไว้ อะไรสมควรเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน แต่สิ่งที่ต้องไม่เปลี่ยนคืออุดมการณ์ระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต้องไม่เปลี่ยน


“หมดยุคซุปเปอร์แมน ยุคต่อไปต้องเป็นยุคของอะเวนเจอร์ ซุปเปอร์ฮีโร่ของพรรคต้องจับมือเป็นทีมอะเวนเจอร์ประชาธิปัตย์ นำทัพเดินไปข้างหน้า นายกรณ์ นายอภิรักษ์ และนายพีระพันธ์ จะเป็นหนึ่งในทีมอะเวนเจอร์ของพรรค แต่แค่นี้ไม่พอเพราะวันนี้ประชาธิปัตย์เหลือแค่ 52 คน หัวหน้าพรรคต้องคิดทำอย่างไรให้เพิ่มจนมากกว่า 200 ในอนาคต ซึ่งมีคำตอบอยู่แล้วคือ ประชาธิปัตย์ต้องมีความเป็นเอกภาพ ภายใต้ความร่วมมือร่วมใจของทุกคนมั่นใจว่าประชาธิปัตย์สามารถก้าวเดินไปสู่อนาคตที่ดีขึ้นได้  ผมมายืนตรงนี้เพื่อขอโอกาสกับทุกคน และยืนยันมั่นใจกับทุกคนว่าการให้โอกาสตนคือการให้โอกาสประชาธิปัตย์ ตนพร้อมจับมือร่วมแรงร่วมใจกับทุกคนที่มุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อพรรค พาพรรคก้าวสู่ความเป็นหนึ่ง และพาพรรคประชาธิปัตย์ไปเป็นที่หนึ่งในหัวใจประชาชนในอนาคต ผมหวังว่าจะได้รับโอกาสจากทุกคน” นายจุรินทร์ กล่าว

นายพีระพันธ์ กล่าวว่า แม้ทุกคนจะมีความชื่นชอบในตัวผู้สมัครหัวหน้าพรรคแต่ละคนแตกต่างกัน แต่ตนเชื่อแม้จะมีความคิดที่แตกต่างกันแต่สิ่งที่อยู่ในใจเหมือนกันคือ เรามีหัวใจดวงเดียวกัน รักพรรค ห่วงใยพรรคและรักชาติรักแผ่นดินไม่แตกต่างกัน ตนเชื่อมั่นด้วยว่าทุกคนล้วนปรารถนาทำให้พรรคกลับมาเป็นที่หนึ่งในหัวใจประชาชนอีกครั้งหนึ่ง แต่ถ้าพวกเราไม่รวมกันเป็นหนึ่ง ไม่มีความรัก สามัคคีปรองดอง ไม่มีการรวมพลังก็จะไม่มีวันเข้มแข็งพอที่จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นที่หนึ่งในหัวใจของประชาชนได้ 

นายพีระพันธ์ กล่าวว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตนเหมือนผู้สมัครอีกสามท่านที่ห่วงใยพรรค มองเห็นการบริหารจัดการพรรคเปลี่ยนแปลงไปในหลายเรื่อง และตกใจกับผลเลือกตั้งที่ผ่านมา แต่อย่าท้อถอยหรือหมดกำลังใจ ต้องเอาสิ่งนี้มาเป็นบทเรียนก้าวไปข้างหน้า เพื่อนำพาพรรคให้เป็นพรรคหลักของประเทศให้ได้ โดยผู้บริหารต้องเปิดกว้างอย่าจำกัดอำนาจไว้กับตัวเอง เพราะตำแหน่งเป็นแค่หัวโขน ต้องเปิดกว้างให้ทุกคนมาทำงานด้วยกันเพื่อให้ประชาธิปัตย์มีความกลมเกลียวเป็นหนึ่งได้ และเปิดโอกาสให้ทุกคนเป็นเจ้าของพรรคอย่างแท้จริง เชื่อว่าแนวทางนี้จะทำให้ประชาชนสนับสนุนให้ประชาธิปัตย์กลับมาเป็นพรรคหลักของประเทศอีกครั้ง 

“ผมลงสมัครหัวหน้าพรรคเพราะคิดว่าถึงเวลาที่จะขอโอกาสนำแนวทางของตนมาบริหารพรรค เปิดโอกาสให้ทุกคนเดินร่วมกัน ซึ่งตนตั้งใจทำงานจริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจมีอำนาจในพรรค อยากกอบกู้ ฟื้นฟูพรรคให้เดินไปข้างหน้า มีคนถามว่าหากได้รับโอกาสเป็นหัวหน้าพรรคแล้วต่อไปมีการร่วมรัฐบาล ตนก็ยังเป็นหัวหน้าพรรคแต่จะไม่รับตำแหน่งบริหารในรัฐบาลเด็ดขาด เพราะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่านักการเมืองของประชาธิปัตย์ไม่เคยวิ่งเต้น วิ่งหาตำแหน่ง พรรคประชาธิปัตย์มีคนดี คนเก่งทำงานให้ชาติ ให้แผ่นดินได้ ไม่ใช่เฉพาะผู้บริหารพรรค ผมจะอยู่ดูแลพรรค อดีตส.ส.ต้องหาทางให้ทุกคนกลับมาเป็นส.ส.ให้ได้” นายพีระพันธ์ กล่าว

นายพีระพันธ์ กล่าวว่า  แม้วันนี้ยังไม่ได้เป็นส.ส.ตนเข้าใจความรู้สึก เพราะท่านยังคงเป็นส.ส.ของพรรคในหัวใจของตน ท่านยังทำหน้าที่เหมือนที่เป็นส.ส.เหมือนเดิม และจะช่วยให่ทุกคนได้ทำงานในตำแหน่งที่ท่านอยากทำ ที่สำคัญคือในส่วนที่เกี่ยวกับประชาชนพรรคต้องเปลี่ยนเป็นพรรคที่ทำให้ประชาชนรู้สึกได้ว่าเป็นพรรคของประชาชน กลับมาคิดแบบชาวบ้าน พูดแบบชาวบ้าน ทำแบบชาวบ้าน นี่คือพรรคที่ผมจะทำให้เป็น และสิ่งที่ตนจะทำคือทำให้ประชาธิปัตย์มีการบริหารจัดการที่เป็นธรรมกับสมาชิกทุกคน เปิดกว้างให้ทุกคนร่วมทำงานแบบเสมอภาค ไม่ใช่หัวหน้าใหญ่กว่าลูกพรรค เลขาธิการพรรคใหญ่กว่าทุกคน แต่ทุกคนจะใหญ่เท่าเทียม เสมอหน้าทุกคน จะทำให้ประชาธิปัตย์กลับมาอยู่ในใจของประชาชนให้ได้”นายพีรพันธ์ กล่าว

ขณะที่นายกรณ์ กล่าวว่า หนึ่งเดือนที่ผ่านมามีความเข้มข้นในชีวิตของตนมากที่สุด มีโอกาสได้พบปะพูดคุย เปิดใจกับเพื่อนสมาชิกหลายวงการสนทนา ที่สำคัญคือเป็นหนึ่งเดือนที่มีโอกาสได้รับฟังความในใจของสมาชิกและสัมผัสถึงความรักที่ทุกคนมีต่อพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงความตั้งใจในการทำงานเพื่อช่วยเหลือประชาชน ตนได้สัมผัสถึงความรักที่เรามีให้กัน และมีโอกาสได้นั่งคุยกับส.ส.ที่เพิ่งผ่านสนามเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคมนั่งหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจแทนเพื่อนหลายคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งที่ผ่านมา รวมถึงความกังวลต่ออนาคตของพรรค ซึ่งตนมั่นใจว่าความแตกต่างในพรรค ต้องยอมรับหากวันหนึ่งอุดมการณ์เปลี่ยนแปลงไปจนอยู่ร่วมกันไม่ได้  เป็นปัญหาที่เป็นความตั้งใจของตนและนายชัยวุฒิคือ ต้องทำทุกอย่างอย่างสร้างสรรค์ เตรียมพื้นที่ให้ทุกคนมีที่ยืนอย่างมีศักดิ์ศรีในการทำงานร่วมกัน ในส่วนเป้าหมายของตนในการทำงานให้พรรคมีความชัดเจนว่าต้องทำให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นทางเลือกหลักให้ประชาชนและทำให้พรรคชนะการเลือกตั้ง 

นายกรณ์ กล่าวว่า ในวันนี้เรามีแชร์โหวตประมาณ 10% ต้องทำให้เพิ่มอย่างน้อย 20 % และขยายต่อไป ซึ่งจะถึงจุดนั้นได้ต้องทำงานหนักกันทุกคน มีความจำเป็นต้องทำงานร่วมกัน แม้เป็นงานหนักแต่เราไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์เพราะเราทำงานมานานกว่า 70 ปี เป็นทุนสำคัญ เพราะพรรคได้กอบกู้วิกฤตการเมืองและเศรษฐกิจหลายครั้ง รวมถึงสร้างนโยบายหลายอย่างที่ประชาชนได้ประโยชน์ ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งทุกพรรคก็ยังสานต่อนโยบายที่พรรคเริ่มต้นไว้ นี่คือทุนเดิมที่เราสามารถสร้างความเข้มแข็งโดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ แต่การเลือกตั้งที่ผ่านมาเราไม่สามารถอาศัยทุนเก่าหรือบุญเก่าได้ ต้องมีความกล้าเดินหน้าด้วยความชัดเจน 

นายกรณ์ กล่าวว่า จากนี้ไปนอกจากการทำงานหนักในทุกความคิด ทุกคำพูด ทุกการกระทำต้องมีความชัดเจนบนเป้าหมายที่ตั้งไว้ และประชาชนสัมผัสได้ว่า เลือกประชาธิปัตย์แล้วได้อะไร สำหรับตนอันดับแรกทุกอย่างที่คิดและทำต้องทำให้ประชาชนอยู่ดี กินดี ทำให้ประชาชนมีโอกาสที่จะมีความก้าวหน้าในชีวิต เป้าหมายที่สองคือประเทศต้องพัฒนา ทันสมัย สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ และเป้าหมายที่สาม ทุกคำพูด ทุกการกระทำของพรรคต้องชัดเจนว่ามุ่งเป้าไปที่การสร้างให้สังคมไทยมีความสงบ สถาบันหลักมีความมั่นคง เราต้องปรับมุมมองของประชาชนที่มีต่อพรรคให้เป็นพรรคที่ยึดหลักปฏิบัตินิยม คือให้ความสำคัญกับการทำ กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน มีจุดยืนที่มั่นคงแต่มีความยืดหยุ่นเพื่อให้เดินไปตามแนวทางที่กำหนดไว้ และถ้ามีความเสมอต้นเสมอปลายอธิบายได้ทุกการตัดสินใจ ก็จะทำให้ประชาชนกลับมาศรัทธาประชาธิปัตย์ได้ 

“หลังจากวันนี้ประชาธิปัตย์จะมีการตัดสินใจที่สำคัญในการกำหนดอนาคตประเทศ เราหลีกเลี่ยงประเด็นไม่ได้ เพราะต้องพิจารณาร่วม หรือไม่ร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะตัดสินใจทางไหน ตราบใดที่ยึดหลักสามประเด็นเป้าหมายที่ผมพูดว่า ประชาชนอยู่ดีกินดี ประเทศชาติพัฒนา สังคมมีความสงบ สถาบันหลักมีความมั่นคง ผมมั่นใจไม่ว่าเลือกไปทางไหนถ้าชัดว่ายึดสามหลักการนี้ ไม่ใช้ประโยชน์ส่วนตนส่วนพรรค ประชาชนจะสนับสนุนการตัดสินใจของพรรค” นายกรณ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังการแสดงวิสัยทัศน์ของ 4 ผู้สมัคร ที่ประชุมได้เปิดให้มีการลงคะแนน โดยองค์ประชุมครั้งนี้มีทั้งหมด 309 คน แต่มาประชุม 291คน ไม่ได้มาร่วมประชุม 18 คน สำหรับการแบ่งสัดส่วนลงคะแนนจะมีสองส่วนคือ ส่วนแรก 70 % เป็นคะแนนของสส. 52 คน และอีก 30 % เป็นคะแนนของอดีตส.ส. อดีตกรรมการบริหารพรรค ประธานสาขา เป็นต้น ซึ่งในการลงคะแนนมีการใช้เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ของ กกต.มาประมวลผล 

ในรอบแรกที่ลงคะแนนปรากฏว่าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ของ กกต.มีปัญหาทำให้ต้องลงคะแนนใหม่อีกรอบ แต่ก็ยังมีปัญหาว่ามีผู้ลงคะแนนบางรายถ่ายสลิปลงคะแนนเป็นหลักฐาน ทำให้นาวาอากาศตรี สุธรรม ระหงษ์ รักษาการผู้อำนวยการพรรค ประกาศห้ามไม่ให้มีการดำเนินการดังกล่าวอีก ก่อนที่จะเปิดให้ลงคะแนนต่อ ปรากฏว่าผลการลงคะแนนเสียงจาก ส.ส. 52 คนในสัดส่วน 70 %  นายจุรินทร์ ได้รับเลือกมาเป็นอันดับหนึ่งคือ 25 คน ตามด้วยนายพีระพันธ์ 20 คน นายกรณ์ 5 คน และนายอภิรักษ์ 2 คน ส่วนคะแนนจากสัดส่วน 30 % นายจุรินทร์ ก็ยังคงได้อันดับหนึ่งด้วยคะแนน 135 นายพีระพันธ์ได้ 82 นายกรณ์ได้ 14 และนายอภิรักษ์ได้ 8 รวมคะแนนอย่างเป็นทางการนายจุรินทร์ ได้รับชัยชนะ เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่ 8 ด้วยคะแนน 50.5995 % ตามด้วยนายพีระพันธ์ 37.2160 % นายกรณ์ 8.4881 % และนายอภิรักษ์ ได้ 3.6965%.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

กกพ.จี้ MEA แจงปัญหาไฟดับ

กรุงเทพฯ 6 ส.ค. – สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จี้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) แจ้งปัญหาไฟดับเป็นบริเวณกว้าง ด้านประชาชนแห่คอมเมนต์ผลกระทบและต้องการเห็นการชดเชย จากปัญหาความเดือดร้อนคนกรุงเทพฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา (5 ส.ค.) เวลา 22.12 น. เกิดไฟดับเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่ย่านสะพานควาย เขตพญาไท ถ.ประดิพัทธ์ และ ถ.พระรามที่ 6 และ MEA แก้ไขจนจ่ายครบเวลา 23.50 น. ทางสำนักงาน กกพ.แจ้งว่าได้ประสานให้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) รายงานข้อเท็จจริง และแนวทางการแก้ไขและป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก ในขณะที่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบต่างระบุเดือดร้อนจากเหตุไฟดับ ต้องการให้ MEA ชี้แจงสาเหตุที่ชัดเจน บางส่วนก็ชื่นชม แก้ปัญหาได้รวดเร็ว บางส่วนก็ต้องการเห็น การชดเชยจาก MEA เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและมีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยไฟดับทั้งอาคาร ดับทั้งไฟสาธารณะ ไฟจราจร สัญญาณอินเทอร์เน็ต ทั้งนี้ MEA ชี้แจงเบื้องต้นสาเหตุเกิดจากความขัดข้องทางเทคนิคของอุปกรณ์ในสถานีไฟฟ้าย่อย ในระหว่างการเตรียมการเพื่อปฏิบัติงานปรับปรุงระบบจ่ายไฟฟ้าตามปกติ, ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือภัยคุกคามทางไซเบอร์ สาเหตุที่แท้จริงของอุปกรณ์ขัดข้องจะชี้แจงต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า […]

ตำรวจเตรียมสอบเชิงลึกชาย BHQ หวั่นเป็นไส้ศึก

บุรีรัมย์ 6 ส.ค.-ตำรวจ สอบปากคำชายชาวกัมพูชา พบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ อ้างเคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับ กรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จังหวัดบุรีรัมย์ จับกุมชายชาวกัมพูชา ได้ที่บ้านพักภรรยาคนไทยและมีเครื่องแบบทหารพร้อมตราสัญลักษณ์ BHQ จากการสอบปากคำ เคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว มาทำงานอยู่ไทย แล้วถูกสวมชื่อ จากการตรวจสอบพบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ ซึ่งแต่ละชื่อไม่ตรงกัน และอ้างว่าเมื่อก่อนเข้ามาอย่างถูกต้อง แต่ล่าสุดมีการลักลอบเข้ามาผ่านช่องทางธรรมชาติทาง จ.สระแก้ว โดยอ้างว่าจ่ายเงินบุคคลที่พาเข้า 4,000 บาท แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงว่าอาจจะแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับคอยส่งข้อมูลความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับความมั่นคงของไทย ไปให้ฝั่งกัมพูชา จากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์พบมีรูปถ่ายกายแต่งกายทหารและถือปืน เบื้องต้นทางตำรวจจะดำเนินคดีมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต.-สำนักข่าวไทย

GBC หารือใหม่เช้านี้ หลังเมื่อคืนถกถึงเที่ยงคืน

มาเลเซีย 6 ส.ค.-GBC ประชุมใหม่เช้านี้ หลังเมื่อคืน ฝ่ายกัมพูชา ไม่สามารถตัดสินตกลงใจได้ในบางหัวข้อและต้องส่งกลับไปให้พนมเปญพิจารณาต่อ การหารือภายใต้กรอบ GBC ณ เวลา 07.45 น. วันนี้ (ตามเวลาท้องถิ่น) เมื่อคืน คณะเลขานุการ GBC ของทั้งสองฝ่าย ได้เจรจากันถึงเวลา 00.15 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) แต่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ในบางประเด็นสุดท้าย เนื่องจากฝ่ายเลขานุการ GBC ของฝ่ายกัมพูชา ไม่สามารถตัดสินตกลงใจได้ในบางหัวข้อและต้องส่งกลับไปให้พนมเปญพิจารณาต่อ จึงได้นัดประชุมอีกครั้ง เวลา 08.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) วันนี้ เพื่อหาข้อสรุปสำหรับประเด็นดังกล่าว โดยเมื่อเวลา 07.40 น. รัฐมนตรีช่วยกลาโหม ได้โทรศัพท์มาพูดคุยกับคณะเลขานุการ GBC ของฝ่ายไทยติดตามความคืบหน้าในการเจรจา ให้กำลังใจ และชื่นชมในการทำงานอย่างหนักถึงวินาทีสุดท้ายของทีมไทยแลนด์ ขอให้ประสบความสำเร็จในการเจรจา เพื่อบรรลุผลและปกป้องผลประโยชน์ของไทย.-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ยันไม่เคยสั่งกำลังพลไปเก็บศพเขมร อย่าเชื่อข่าวปลอม

5 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชา บริเวณชายแดน ขออย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อโซเชียลมีเดียได้ลงข้อความอันเป็นเท็จ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปปฏิบัติอย่างนั้น ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางประเทศไทย “ผมไม่เคยมีคำสั่งแบบนี้ และขอยืนยันว่า ข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวปลอม ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ“ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.-313-สำนักข่าวไทย