กรุงเทพฯ 15 พ.ค.- “จุรินทร์” คว้าชัยนั่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ 8 ตอนเลือกวุ่นเล็กน้อย ต้องลงคะแนนสองรอบ หลังเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ กกต.มีปัญหา พบโหวตเตอร์บางราย ทำผิดกติกา ถ่ายรูปสลิปลงคะแนนเป็นหลักฐาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อเลือกหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยเริ่มต้นจากคณะกรรมการจัดการเลือกตั้งของพรรคที่มีนายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ เป็นประธาน ได้เริ่มอธิบายถึงขั้นตอนการเลือกหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรค จากนั้นเปิดให้มีการเสนอชื่อผู้เสนอตัวเป็นหัวหน้าพรรค
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ เสนอชื่อ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นหัวหน้าพรรค นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ ส.ส.ตาก เสนอชื่อ นายกรณ์ จาติกวณิช น.ส.รัชดา ธนาดิเรก อดีตส.ส.กทม.เสนอชื่อนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน และนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี เสนอชื่อ นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค จากนั้นที่ประชุมได้ให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อทั้ง 4 คน จับสลากหมายเลขเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ โดยผู้ที่ได้หมายเลขที่ 1 คือ นายอภิรักษ์ หมายเลข 2 นายจุรินทร์ หมายเลข 3 นายพีระพันธ์ และหมายเลข 4 นายกรณ์ ซึ่งทั้งหมดจะมีเวลา 15 นาทีในการแสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุม และมีการถ่ายทอดสดผ่านเฟสบุ๊กไลฟ์ของพรรคด้วย
นายอภิรักษ์ กล่าวว่า วันนี้หลายคนถามทำไมลงสมัครหัวหน้าพรรค อาจมีคำถามว่าตนไม่ได้สมัครส.ส.แต่อาสาเป็นหัวหน้าพรรคจะทำงานได้หรือ ตนเห็นว่าถ้ามองวิกฤตเป็นโอกาสวว่าการที่พรรคได้รับการสนับสนุนส.ส.น้อยลงจำนวนมาก เป็นเหตุผลที่ตนตัดสินใจว่าวิกฤตเป็นโอกาสที่จะรวมพลัง ตั้งใจทำงานร่วมกับทุกคนฟื้นฟูพรรค จะใช้เวลาทั้งหมดทำงานร่วมกับอดีตส.ส. สาขา ต่อยอดอุดมการณ์พรรค ปรับปรุงให้พรรคร่วมสมัยเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยการดึงพลังของทุกคนมาร่วมกันทำงานโดยไม่แบ่งแยก มีเป้าหมายร่วมกันในการทำงานให้พรรคประชาธิปัตย์ และการเปลี่ยนแปลงยังต้องยึดมั่นอุดมการณ์ของพรรค ซึ่งต้องทำให้เข้าถึงประชาชนมากขึ้นผ่านการสื่อสารสมัยใหม่
“วันนี้เราได้รับเลือกตั้งน้อยลงกว่าคราวที่แล้วเยอะมาก จะชนะเลือกตั้งได้อย่างไร ผมลงสมัครผู้ว่ากทม.สองครั้งชนะทั้งสองครั้ง และเป็นรองหัวหน้าพรรคกทม.ได้ส.ส.กทม. 28 ที่นั่ง ทำให้ประชาธิปัตย์เป็นพรรคของคนไทยทั้งประเทศ ผลักดันให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า การเลือกตั้งครั้งนื้มีความสำคัญมากเพราะเป็นการกำหนดอนาคตประชาธิปัตย์ว่าจะเปลี่ยนจนชนะการเลือกตั้งกลับมาครองใจประชาชนอีกครั้งหนึ่งได้หรือไม่ ผมขอเสนอตัวให้เลือกอภิรักษ์พรรคเปลี่ยน” นายอภิรักษ์ กล่าว
ด้านนายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนร่วมอุดมการณ์กับพรรคมาอย่างน้อย 33 ปี ถ้านับจากวันที่เป็นส.ส.ปี 2529 เป็นรัฐมนตรีมาหลายกระทรวงโดยมีโอกาสได้เป็นรองหัวหน้าพรรคตั้งแต่ปี 2546 ที่บอกสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพราะเก่งหรือดี แต่มีวันนี้เพราะมีโอกาส และนี่คือสิ่งที่ตนตระหนักว่าโอกาสคือสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับทุกคน สิ่งที่อยากบอกคือถ้าตนได้รับโอกาสเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะหยิบยื่นสิ่งเหล่านี้ให้ทุกคนที่ตั้งใจทำงานทุ่มเทเสียสละให้พรรคโดยไม่จำเป็นว่าต้องอยู่ฝ่ายไหน หรือเป็นเด็กของใคร นี่เป็นคำสัญญาที่ขอให้ไว้ มีหลายคนถามว่าถ้าเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะมีอะไรเปลี่ยนหรือไม่ ขอเรียนว่าประชาธิปัตย์ถึงเวลาต้องเปลี่ยน และต้องเปลี่ยนอย่างมีวุฒิภาวะ อะไรดีต้องรักษาไว้ อะไรสมควรเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน แต่สิ่งที่ต้องไม่เปลี่ยนคืออุดมการณ์ระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต้องไม่เปลี่ยน
“หมดยุคซุปเปอร์แมน ยุคต่อไปต้องเป็นยุคของอะเวนเจอร์ ซุปเปอร์ฮีโร่ของพรรคต้องจับมือเป็นทีมอะเวนเจอร์ประชาธิปัตย์ นำทัพเดินไปข้างหน้า นายกรณ์ นายอภิรักษ์ และนายพีระพันธ์ จะเป็นหนึ่งในทีมอะเวนเจอร์ของพรรค แต่แค่นี้ไม่พอเพราะวันนี้ประชาธิปัตย์เหลือแค่ 52 คน หัวหน้าพรรคต้องคิดทำอย่างไรให้เพิ่มจนมากกว่า 200 ในอนาคต ซึ่งมีคำตอบอยู่แล้วคือ ประชาธิปัตย์ต้องมีความเป็นเอกภาพ ภายใต้ความร่วมมือร่วมใจของทุกคนมั่นใจว่าประชาธิปัตย์สามารถก้าวเดินไปสู่อนาคตที่ดีขึ้นได้ ผมมายืนตรงนี้เพื่อขอโอกาสกับทุกคน และยืนยันมั่นใจกับทุกคนว่าการให้โอกาสตนคือการให้โอกาสประชาธิปัตย์ ตนพร้อมจับมือร่วมแรงร่วมใจกับทุกคนที่มุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อพรรค พาพรรคก้าวสู่ความเป็นหนึ่ง และพาพรรคประชาธิปัตย์ไปเป็นที่หนึ่งในหัวใจประชาชนในอนาคต ผมหวังว่าจะได้รับโอกาสจากทุกคน” นายจุรินทร์ กล่าว
นายพีระพันธ์ กล่าวว่า แม้ทุกคนจะมีความชื่นชอบในตัวผู้สมัครหัวหน้าพรรคแต่ละคนแตกต่างกัน แต่ตนเชื่อแม้จะมีความคิดที่แตกต่างกันแต่สิ่งที่อยู่ในใจเหมือนกันคือ เรามีหัวใจดวงเดียวกัน รักพรรค ห่วงใยพรรคและรักชาติรักแผ่นดินไม่แตกต่างกัน ตนเชื่อมั่นด้วยว่าทุกคนล้วนปรารถนาทำให้พรรคกลับมาเป็นที่หนึ่งในหัวใจประชาชนอีกครั้งหนึ่ง แต่ถ้าพวกเราไม่รวมกันเป็นหนึ่ง ไม่มีความรัก สามัคคีปรองดอง ไม่มีการรวมพลังก็จะไม่มีวันเข้มแข็งพอที่จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นที่หนึ่งในหัวใจของประชาชนได้
นายพีระพันธ์ กล่าวว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตนเหมือนผู้สมัครอีกสามท่านที่ห่วงใยพรรค มองเห็นการบริหารจัดการพรรคเปลี่ยนแปลงไปในหลายเรื่อง และตกใจกับผลเลือกตั้งที่ผ่านมา แต่อย่าท้อถอยหรือหมดกำลังใจ ต้องเอาสิ่งนี้มาเป็นบทเรียนก้าวไปข้างหน้า เพื่อนำพาพรรคให้เป็นพรรคหลักของประเทศให้ได้ โดยผู้บริหารต้องเปิดกว้างอย่าจำกัดอำนาจไว้กับตัวเอง เพราะตำแหน่งเป็นแค่หัวโขน ต้องเปิดกว้างให้ทุกคนมาทำงานด้วยกันเพื่อให้ประชาธิปัตย์มีความกลมเกลียวเป็นหนึ่งได้ และเปิดโอกาสให้ทุกคนเป็นเจ้าของพรรคอย่างแท้จริง เชื่อว่าแนวทางนี้จะทำให้ประชาชนสนับสนุนให้ประชาธิปัตย์กลับมาเป็นพรรคหลักของประเทศอีกครั้ง
“ผมลงสมัครหัวหน้าพรรคเพราะคิดว่าถึงเวลาที่จะขอโอกาสนำแนวทางของตนมาบริหารพรรค เปิดโอกาสให้ทุกคนเดินร่วมกัน ซึ่งตนตั้งใจทำงานจริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจมีอำนาจในพรรค อยากกอบกู้ ฟื้นฟูพรรคให้เดินไปข้างหน้า มีคนถามว่าหากได้รับโอกาสเป็นหัวหน้าพรรคแล้วต่อไปมีการร่วมรัฐบาล ตนก็ยังเป็นหัวหน้าพรรคแต่จะไม่รับตำแหน่งบริหารในรัฐบาลเด็ดขาด เพราะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่านักการเมืองของประชาธิปัตย์ไม่เคยวิ่งเต้น วิ่งหาตำแหน่ง พรรคประชาธิปัตย์มีคนดี คนเก่งทำงานให้ชาติ ให้แผ่นดินได้ ไม่ใช่เฉพาะผู้บริหารพรรค ผมจะอยู่ดูแลพรรค อดีตส.ส.ต้องหาทางให้ทุกคนกลับมาเป็นส.ส.ให้ได้” นายพีระพันธ์ กล่าว
นายพีระพันธ์ กล่าวว่า แม้วันนี้ยังไม่ได้เป็นส.ส.ตนเข้าใจความรู้สึก เพราะท่านยังคงเป็นส.ส.ของพรรคในหัวใจของตน ท่านยังทำหน้าที่เหมือนที่เป็นส.ส.เหมือนเดิม และจะช่วยให่ทุกคนได้ทำงานในตำแหน่งที่ท่านอยากทำ ที่สำคัญคือในส่วนที่เกี่ยวกับประชาชนพรรคต้องเปลี่ยนเป็นพรรคที่ทำให้ประชาชนรู้สึกได้ว่าเป็นพรรคของประชาชน กลับมาคิดแบบชาวบ้าน พูดแบบชาวบ้าน ทำแบบชาวบ้าน นี่คือพรรคที่ผมจะทำให้เป็น และสิ่งที่ตนจะทำคือทำให้ประชาธิปัตย์มีการบริหารจัดการที่เป็นธรรมกับสมาชิกทุกคน เปิดกว้างให้ทุกคนร่วมทำงานแบบเสมอภาค ไม่ใช่หัวหน้าใหญ่กว่าลูกพรรค เลขาธิการพรรคใหญ่กว่าทุกคน แต่ทุกคนจะใหญ่เท่าเทียม เสมอหน้าทุกคน จะทำให้ประชาธิปัตย์กลับมาอยู่ในใจของประชาชนให้ได้”นายพีรพันธ์ กล่าว
ขณะที่นายกรณ์ กล่าวว่า หนึ่งเดือนที่ผ่านมามีความเข้มข้นในชีวิตของตนมากที่สุด มีโอกาสได้พบปะพูดคุย เปิดใจกับเพื่อนสมาชิกหลายวงการสนทนา ที่สำคัญคือเป็นหนึ่งเดือนที่มีโอกาสได้รับฟังความในใจของสมาชิกและสัมผัสถึงความรักที่ทุกคนมีต่อพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงความตั้งใจในการทำงานเพื่อช่วยเหลือประชาชน ตนได้สัมผัสถึงความรักที่เรามีให้กัน และมีโอกาสได้นั่งคุยกับส.ส.ที่เพิ่งผ่านสนามเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคมนั่งหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจแทนเพื่อนหลายคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งที่ผ่านมา รวมถึงความกังวลต่ออนาคตของพรรค ซึ่งตนมั่นใจว่าความแตกต่างในพรรค ต้องยอมรับหากวันหนึ่งอุดมการณ์เปลี่ยนแปลงไปจนอยู่ร่วมกันไม่ได้ เป็นปัญหาที่เป็นความตั้งใจของตนและนายชัยวุฒิคือ ต้องทำทุกอย่างอย่างสร้างสรรค์ เตรียมพื้นที่ให้ทุกคนมีที่ยืนอย่างมีศักดิ์ศรีในการทำงานร่วมกัน ในส่วนเป้าหมายของตนในการทำงานให้พรรคมีความชัดเจนว่าต้องทำให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นทางเลือกหลักให้ประชาชนและทำให้พรรคชนะการเลือกตั้ง
นายกรณ์ กล่าวว่า ในวันนี้เรามีแชร์โหวตประมาณ 10% ต้องทำให้เพิ่มอย่างน้อย 20 % และขยายต่อไป ซึ่งจะถึงจุดนั้นได้ต้องทำงานหนักกันทุกคน มีความจำเป็นต้องทำงานร่วมกัน แม้เป็นงานหนักแต่เราไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์เพราะเราทำงานมานานกว่า 70 ปี เป็นทุนสำคัญ เพราะพรรคได้กอบกู้วิกฤตการเมืองและเศรษฐกิจหลายครั้ง รวมถึงสร้างนโยบายหลายอย่างที่ประชาชนได้ประโยชน์ ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งทุกพรรคก็ยังสานต่อนโยบายที่พรรคเริ่มต้นไว้ นี่คือทุนเดิมที่เราสามารถสร้างความเข้มแข็งโดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ แต่การเลือกตั้งที่ผ่านมาเราไม่สามารถอาศัยทุนเก่าหรือบุญเก่าได้ ต้องมีความกล้าเดินหน้าด้วยความชัดเจน
นายกรณ์ กล่าวว่า จากนี้ไปนอกจากการทำงานหนักในทุกความคิด ทุกคำพูด ทุกการกระทำต้องมีความชัดเจนบนเป้าหมายที่ตั้งไว้ และประชาชนสัมผัสได้ว่า เลือกประชาธิปัตย์แล้วได้อะไร สำหรับตนอันดับแรกทุกอย่างที่คิดและทำต้องทำให้ประชาชนอยู่ดี กินดี ทำให้ประชาชนมีโอกาสที่จะมีความก้าวหน้าในชีวิต เป้าหมายที่สองคือประเทศต้องพัฒนา ทันสมัย สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ และเป้าหมายที่สาม ทุกคำพูด ทุกการกระทำของพรรคต้องชัดเจนว่ามุ่งเป้าไปที่การสร้างให้สังคมไทยมีความสงบ สถาบันหลักมีความมั่นคง เราต้องปรับมุมมองของประชาชนที่มีต่อพรรคให้เป็นพรรคที่ยึดหลักปฏิบัตินิยม คือให้ความสำคัญกับการทำ กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน มีจุดยืนที่มั่นคงแต่มีความยืดหยุ่นเพื่อให้เดินไปตามแนวทางที่กำหนดไว้ และถ้ามีความเสมอต้นเสมอปลายอธิบายได้ทุกการตัดสินใจ ก็จะทำให้ประชาชนกลับมาศรัทธาประชาธิปัตย์ได้
“หลังจากวันนี้ประชาธิปัตย์จะมีการตัดสินใจที่สำคัญในการกำหนดอนาคตประเทศ เราหลีกเลี่ยงประเด็นไม่ได้ เพราะต้องพิจารณาร่วม หรือไม่ร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะตัดสินใจทางไหน ตราบใดที่ยึดหลักสามประเด็นเป้าหมายที่ผมพูดว่า ประชาชนอยู่ดีกินดี ประเทศชาติพัฒนา สังคมมีความสงบ สถาบันหลักมีความมั่นคง ผมมั่นใจไม่ว่าเลือกไปทางไหนถ้าชัดว่ายึดสามหลักการนี้ ไม่ใช้ประโยชน์ส่วนตนส่วนพรรค ประชาชนจะสนับสนุนการตัดสินใจของพรรค” นายกรณ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังการแสดงวิสัยทัศน์ของ 4 ผู้สมัคร ที่ประชุมได้เปิดให้มีการลงคะแนน โดยองค์ประชุมครั้งนี้มีทั้งหมด 309 คน แต่มาประชุม 291คน ไม่ได้มาร่วมประชุม 18 คน สำหรับการแบ่งสัดส่วนลงคะแนนจะมีสองส่วนคือ ส่วนแรก 70 % เป็นคะแนนของสส. 52 คน และอีก 30 % เป็นคะแนนของอดีตส.ส. อดีตกรรมการบริหารพรรค ประธานสาขา เป็นต้น ซึ่งในการลงคะแนนมีการใช้เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ของ กกต.มาประมวลผล
ในรอบแรกที่ลงคะแนนปรากฏว่าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ของ กกต.มีปัญหาทำให้ต้องลงคะแนนใหม่อีกรอบ แต่ก็ยังมีปัญหาว่ามีผู้ลงคะแนนบางรายถ่ายสลิปลงคะแนนเป็นหลักฐาน ทำให้นาวาอากาศตรี สุธรรม ระหงษ์ รักษาการผู้อำนวยการพรรค ประกาศห้ามไม่ให้มีการดำเนินการดังกล่าวอีก ก่อนที่จะเปิดให้ลงคะแนนต่อ ปรากฏว่าผลการลงคะแนนเสียงจาก ส.ส. 52 คนในสัดส่วน 70 % นายจุรินทร์ ได้รับเลือกมาเป็นอันดับหนึ่งคือ 25 คน ตามด้วยนายพีระพันธ์ 20 คน นายกรณ์ 5 คน และนายอภิรักษ์ 2 คน ส่วนคะแนนจากสัดส่วน 30 % นายจุรินทร์ ก็ยังคงได้อันดับหนึ่งด้วยคะแนน 135 นายพีระพันธ์ได้ 82 นายกรณ์ได้ 14 และนายอภิรักษ์ได้ 8 รวมคะแนนอย่างเป็นทางการนายจุรินทร์ ได้รับชัยชนะ เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่ 8 ด้วยคะแนน 50.5995 % ตามด้วยนายพีระพันธ์ 37.2160 % นายกรณ์ 8.4881 % และนายอภิรักษ์ ได้ 3.6965%.-สำนักข่าวไทย