นนทบุรี 8 พ.ค. – พาณิชย์เตรียมหามาตรการรับมือสหรัฐเก็บภาษีจีน มั่นใจโอกาสไทยทำตลาดเพิ่มขึ้น แม้จะถูกเรียกเก็บภาษีสูง แต่เชื่อว่าสินค้าไทยยังเป็นที่ยอมรับ
น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังประชุมร่วมผู้บริหารกระทรวง ว่า ได้ยืนยันให้ข้าราชการกระทรวงทราบว่าจะทำหน้าที่จนกว่าจะหมดวาระรัฐบาลนี้ และไม่ตัดสินใจลาออก เพื่อไปเป็น ส.ว.ตามกระแสข่าวแต่อย่างใด ดังนั้น ในช่วงเวลาที่เหลือของรัฐบาลนี้จะพยายามทำทุกเรื่องที่ค้างเต็มที่ ซึ่งวันนี้มีสถานการณ์ร้อนแรงด้านการค้าโดยเฉพาะกรณีสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้าบางรายการเพิ่มจากจีน จากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 25 ถือเป็นพิกัดเต็มอัตราและคงต้องติดตามสัปดาห์นี้สหรัฐจะประกาศรายสินค้าที่เรียกเก็บจากจีนเพิ่มกลุ่มเดิมและกลุ่มใหม่มากน้อยแค่ไหน
น.ส.ชุติมา กล่าวว่า จากการเรียกเก็บภาษีร้อยละ 10 ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมากรณีตอบโต้ทั้ง 2 ประเทศ ยอมรับว่ามีทั้งดีและไม่ดีต่อประเทศส่งออกไปทั้ง 2 ประเทศ พบว่าทำให้ไทยส่งออกลดลงร้อยละ 0.3 หรือ 779 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากยอดส่งออกรวมกว่า 225,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในตลาดจีน ไทยส่งออกไปจีนลดลง 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ขณะเดียวกันก็สามารถส่งออกไปสหรัฐได้เพิ่มขึ้น 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีส่วนต่างประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แสดงให้เห็นว่าแม้การส่งออกของไทยโดยรวมจะลดลงบ้าง แต่เชื่อว่าไทยยังมีโอกาสเร่งผลักดันการทำตลาดทั้ง 2 ประเทศได้ อีกทั้งประเทศคู่แข่งที่เคยส่งไปทั้ง 2 ประเทศยังมีโอกาสหาตลาดประเทศอื่น ๆ ถือเป็นโอกาสดีของไทยที่หลายประเทศสั่งซื้อวัตถุดิบของไทยเพิ่มเติม
นอกจากนี้ กำลังติดตามรายการสินค้าใหม่ที่สหรัฐจะประกาศเรียกเก็บภาษีเพิ่ม โดยหลายกลุ่มสินค้าไม่ว่าเครื่องหนัง อาหาร สินค้าเดินทาง เฟอร์นิเจอร์ยังมีโอกาสเจาะตลาดเพิ่มได้อีกมาก ซึ่งขณะนี้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศปรับแผนการทำตลาดรายกลุ่มแบบเชิงลึก เพื่อให้สินค้าไทยมีโอกาสเข้าไปเจาะตลาดทั้งตลาดหลัก ตลาดรอง และตลาดใหม่ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ไม่ได้นิ่งนอนใจและจะพยายามอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม จากมาตรการที่สหรัฐจะประกาศส่งผลให้การส่งออกปีนี้ติดลบหรือเป็นบวกมากน้อยแค่ไหนคงยังไม่สามารถประเมินภาพรวมทั้งหมดได้อย่างเต็มที่ แต่สิ่งสำคัญการส่งออกของไทยจะเติบโตแค่ไหนไม่ได้ขึ้นอยู่กับไทยประเทศเดียว แต่ขึ้นอยู่กับกลุ่มประเทศผู้ค้าของไทยจะหันมาซื้อสินค้าไทยมากน้อยแค่ไหน แต่มีผลรองรับที่จะทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยช่วงเดือนปลายเดือนพฤษภาคมนี้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะจัดประชุมหัวหน้าสำนักงานการค้าในต่างประเทศทั่วโลก เพื่อประเมินสถานการณ์การส่งออกภายใต้ผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐและจีน แนวโน้มราคาน้ำมัน เป็นต้น
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังเร่งติดตามการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าเกษตร ซึ่งได้รับรายงานจากกรมการค้าภายในโดยรวมสินค้าอุปโภคบริโภคยังปกติไม่มีสินค้าใดปรับขึ้นอย่างผิดปกติ แต่สินค้าภาคเกษตรมีหลายรายการปรับลดลงตามภาวะฤดูกาล ทางกรมการค้าภายในติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งที่ประชุม ครม.เมื่อวานนี้ (7 พ.ค.) อนุมัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรับซื้อปาล์มผ่านการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยมาตรการเหล่านี้คาดว่าจะส่งผลให้ภาพรวมของผลปาล์มปรับสูงขึ้นและลดปริมาณสตอกน้ำมันปาล์มให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว และปลายสัปดาห์นี้จนถึงต้นสัปดาห์หน้ากระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบปริมาณน้ำมันปาล์มดิบภาคเอกชนทั้งระบบ เพื่อให้ได้รับทราบปริมาณน้ำมันปาล์มในโรงสกัดมากน้อยแค่ไหน เพื่อรายงานกระทรวงพลังงาน และหวังว่าจากแนวทางลดปริมาณน้ำมันปาล์มให้กลับมาปกติจะส่งผลให้ผลปาล์มดิบสูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 3 บาทต่อกิโลกรัมแน่นอน.-สำนักข่าวไทย