กทม. 29 เม.ย.-ลูกขึ้น ม.5 ได้เกรด 3.25 แม่ต้องการดีกว่านี้ ด้านจิตแพทย์แนะ ผู้ปกครองอย่าบีบบังคับให้เด็กตั้งใจเรียน เพราะการเรียนที่ดี ต้องเรียนอย่างมีความสุข และต้องยอมรับว่าเด็กแต่ละคนระดับสติปัญญาต่างกัน
เฟซบุ๊กเพจ Toolmorrow ที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องการดูแลลูก เผยเรื่องราวของคุณแม่รายหนึ่ง เธอรู้สึกไม่พอใจกับเรื่องผลการเรียนของลูก จึงส่งข้อความแชตไประบาย และขอคำปรึกษากับทางแอดมินเพจ โดยเธอเผยว่าตอนนี้รู้สึกเหนื่อยใจมาก ลูกกำลังจะขึ้นชั้น ม.5 แต่เรียนได้แค่เกรด 3.25 ในขณะที่คนอื่นได้เกรด 3.5 กันหมด
แม้ว่าเกรดของลูกจะขึ้นมาจากเทอมที่แล้วได้แค่ 3.00 เธอก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ เป็นกังวลว่าลูกจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ เธอพยายามช่วยสารพัด ทั้งส่งเรียนพิเศษ และคอยตามงานให้ แต่ก็ยังได้เกรดเท่านี้ เธอจึงตั้งใจว่าปิดเทอมนี้จะให้ลูกอ่านหนังสือจริงจัง โดยขู่ว่าถ้าไม่อ่าน จะตัดอินเทอร์เน็ต แต่ผลสุดท้ายลูกก็ไม่ฟัง วันๆ ก็ดูการ์ตูน ซีรีส์ ทางแม่เลยคิดว่าจะตัดอินเทอร์เน็ตลูกจริงๆ เพื่อดัดนิสัย แต่ก็ยังแอบคิดว่าจะทำเกินไปหรือเปล่า…
ภายหลังจากข้อความขอคำแนะนำจากคุณแม่รายดังกล่าวถูกนำมาโพสต์แชร์ ก็เกิดเสียงวิพาษ์วิจารณ์อย่างหนักจากบรรดาชาวโซเชียลทั้งหลาย คอมเมนต์ส่วนใหญ่กล่าวเชิงว่า คนที่ดูน่าเหนื่อยใจ น่าจะเป็นแม่มากกว่าลูก ก่อนจะดัดนิสัยลูก ดัดนิสัยแม่ก่อนเลย พร้อมทั้งแนะว่า หยุดเอาลูกไปเปรียบกับลูกคนอื่น เกรดไม่ใช่ตัวชี้วัดชีวิต พ่อแม่มีหน้าที่สนับสนุนสิ่งที่ลูกเลือก ไม่ใช่ไปบังคับกดดัน เพราะนั่นคือชีวิตของลูก
เรื่องนี้ ทีมข่าวคับข่าวครบประเด็น ได้สอบถามกับนายแพทย์วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต ในฐานะจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ยอมรับว่าเรื่องการเรียนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ผู้ปกครองก็ต้องคุยกับบุตรหลานด้วยเหตุผล และอธิบายให้เข้าใจว่าการเรียนถึงสำคัญต่อชีวิตพวกเขาอย่างไร การพูดคุยให้เด็กมีความเข้าใจ ก็ทำให้ไม่ต้องมีการบีบบังคับเพื่อให้ตั้งใจเรียน แต่สิ่งที่สำคัญ ไม่ใช่เรื่องประสบความสำเร็จด้านการเรียนอย่างเดียว แต่เป็นการเรียนอย่างมีความสุข ถ้าตัวเด็กรู้สึกว่าเรียนแล้วไม่มีความสุขก็อาจมีแนวโน้มไม่อยากเรียนต่อ สิ่งสำคัญอีกอย่าง คือความคาดหวังของผู้ปกครองเด็ก ต้องยอมรับว่าเด็กแต่ละคนระดับสติปัญญา ความสามารถ ความเก่งมีความแตกต่างกัน ถ้าเอาผลการเรียนมาวัดอย่างเดียว ก็อาจเป็นการด่วนตัดสินใจไป
สำหรับการที่พ่อแม่ยื่นเงื่อนไขเพื่ออยากให้ลูกมีผลการเรียนที่ดีขึ้น นายแพทย์วรตม์ โชติ แนะนำว่า ให้พ่อแม่ทำข้อตกลงกับลูกก่อนเริ่มเรียน แต่ขอให้เป็นแรงกระตุ้นทางบวก แรงเสริมทางบวก ดีกว่าแรงเสริมทางลบ อย่างบอกลูกว่าถ้าผลการเรียนตกลงแล้วจะเกิดบทลงโทษ ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนทำให้ลูกไม่อยากเรียน หากลูกผลการเรียนตกลง ต้องพูดคุยกัน ช่วยกันหาสาเหตุ ก็จะช่วยให้พัฒนาการเรียนขึ้นได้
ส่วนประเด็นที่เมื่อแม่รายนี้ขู่จะตัดอินเทอร์เน็ต สุดท้ายลูกก็ไม่ฟัง นายแพทย์วรตม์ บอกว่า วัยรุ่นเป็นวัยที่สร้างบุคลิกภาพ เป็นตัวของตัวเอง เริ่มเป็นผู้ใหญ่ การต่อต้านเป็นเรื่องปกติ สิ่งที่ดีที่สุดคือเปิดใจ การพูดคุย รับฟังเขา ว่าปัญหาคืออะไร พ่อแม่จะให้ความช่วยเหลืออะไร เมื่อวัยรุ่นรู้ว่ามีคนรับฟังเขา ต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พฤติกรรมต่อต้านจะลดลง
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น บอกอีกว่า ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันคนพึ่งพาเทคโนโลยีใกล้ตัว เลือกที่จะระบายความรูสึกบนโลกออนไลน์ ซึ่งทำได้ง่าย บางครั้งอาจเป็นสิ่งดี บางครั้งอาจเป็นความช่วยเหลือที่ยังไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม อยากให้พ่อแม่ผู้ปกครองนึกถึงความช่วยเหลือที่เกิดจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมีทั้งจิตแพทย์ นักจิตวิทยาคลีนิก จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ที่มีอยู่ตามโรงพยาบาลทั่วไป สามารถให้คำปรึกษาได้ทั่วประเทศ.-สำนักข่าวไทย