กรุงเทพฯ 10 เม.ย. – บล.กสิกรไทยคงเป้าดัชนีปีนี้ 1,750 จุด พร้อมหั่นลงหากจัดรัฐบาลใหม่ไม่ทันครึ่งปีแรก ด้าน บล.ทิสโก้ให้เป้าหมาย 1,800 จุด
นายภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ฝ่ายวิเคราะห์คงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้ที่ 1,750 จุด โดยให้น้ำหนักเรื่องการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการจัดตั้งรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าจะจัดตั้งได้ภายในครึ่งปีแรกนี้ ดังนั้น ในช่วงที่ยังรอความชัดเจน ดัชนีหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวแกว่งตัวระหว่าง 1,600-1,675 จุด อย่างไรก็ตาม หากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้ากว่าครึ่งปีแรก ฝ่ายวิเคราะห์จะมีการปรับลดเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 2562 อีกครั้ง โดยยังแนะนำกลุ่มพาณิชย์ เลือก CPALL BJC และ HMPRO จะได้แรงหนุนจากการบริโภคของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมาตรการช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อย
ส่วนกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายจากต่างชาติยังคงรอความชัดเจนทางการเมืองเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นมูลค่าการซื้อขายระยะนี้จะยังคงเบาบาง ขณะที่พื้นฐานของตลาดหุ้นไทยยังดี โดยรายได้ของบริษัทจดทะเบียนปีนี้ขยายตัวประมาณร้อยละ 13 สาเหตุเนื่องจากฐานปี 2561 ต่ำ ประกอบกับผลประกอบการไตรมาส 1/2562 น่าจะออกมาดี โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานปิโตรเคมีและไฟฟ้า โดยได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น ประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันในครึ่งปีแรกสูงกว่าช่วงครึ่งปีหลัง รวมทั้งเพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันโลกอยู่ที่ 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยขึ้นจากจุดต่ำสุดในช่วงเดือนธันวาคม 2561 น้อยกว่าตลาดอื่น ๆ ( Under Perform ) สาเหตุจากความกังวลต่อปัจจัยการเมืองในประเทศ และเมื่อประกอบกับความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยด้วยแล้ว จึงส่งผลให้เดือนมีนาคมนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในภาวะลังเลและไม่กล้าลงทุน เรียกได้ว่านักลงทุนในตลาดหุ้นไทยใส่เกียร์ว่าง อย่างไรก็ตาม ถือเป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนจะเข้าไปลงทุน เพราะไม่ว่าอย่างไรการเมืองไทยก็จะมีความชัดเจนในที่สุด โดย บล.ทิสโก้คาดการณ์ว่าพรรคพลังประชารัฐมีโอกาสจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลมากกว่าพรรคเพื่อไทย และไม่ว่าขั้วพรรคการเมืองใดจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นไปแตะ 1,700 จุดได้ในช่วงเดือนพฤษภาคม
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในเชิงเทคนิคปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกต่อดัชนีหุ้นไทยแล้ว ขณะที่ประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยจะทยอยปรับตัวดีขึ้นไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปีนี้ เนื่องจากรัฐบาลใหม่จะเข้ามาอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบจากการอนุมัติโครงการต่าง ๆ ที่ยังคั่งค้างอยู่ ซึ่งจะช่วยให้กำไรบริษัทจดทะเบียนปรับตัวดีขึ้นตามมา ประกอบกับหุ้นไทยจะได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์เรื่องการนำหุ้นเข้าคำนวณดัชนี MSCI Emerging Market (MSCI) ซึ่งคาดว่าจะมีเงินต่างชาติไหลเข้ามาซื้อหุ้นไทยประมาณ 50,000 ล้านบาท และทำให้หุ้นไทยปลายปี 2562 ปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 1,800 จุดได้
นายวิวัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับหุ้นแนะนำเดือนเมษายนมีทั้งหมด 4 ธีม ธีมแรก คือ หุ้นที่คาดว่าราคาจะปรับเพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของ MSCI คือ BDMS, SCC, CPN และ LH ธีมที่สอง คือ หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐฯ ทั้งการบริโภคและการลงทุน คือ MINT, STEC, AMATA และ WHA ธีมที่สาม คือ หุ้นที่คาดว่าแนวโน้มกำไรไตรมาสที่ 1/2562 จะออกมาดี คือ JWD, ANAN, ROJNA และ SEAFCO และธีมสุดท้าย คือ หุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลบวกหากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อคืน คือ BBL และ PTTEP
ด้านหุ้นที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรระยะสั้น คือ PTTEP และ IRPC เพราะเป็นหุ้นที่ผลประกอบการจะได้รับผลบวกจากราคาน้ำมัน WTI ในไตรมาสที่ 1/2562 ที่ปรับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15 ซึ่งหุ้นกลุ่มพลังงานจะประกาศผลการดำเนินงานในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ ส่วนมุมมองราคาน้ำมันไตรมาส 2/2562 คาดว่าราคาน้ำมัน WTI จะขึ้นมาทดสอบแนวต้านที่ 63 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และหากผ่านไปได้จะทดสอบแนวต้านใหม่ที่ 68 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ในช่วงครึ่งปีหลังจะได้รับผลกระทบจากปริมาณเชลล์ออยจากสหรัฐเข้ามาในตลาด จึงแนะนำให้ลงทุนในรูปแบบเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น .-สำนักข่าวไทย