กรุงเทพฯ 28 ส.ค.-“พล.อ.เลิศรัตน์ ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของนักการเมืองที่จะให้นายกฯ ตั้งพรรคและลงสมัครรับเลือกตั้ง ชี้การตั้งพรรคการเมืองต้องอยู่บนพื้นฐานการทำงานเพื่อประชาชน ไม่ใช้ตั้งขึ้นเฉพาะกิจ
พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีที่นักการเมือง เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ไปตั้งพรรคการเมืองและลงสมัครรับเลือกตั้ง ว่า การตั้งพรรคการเมืองควรตั้งบนพื้นฐานการทำงานเพื่อประชาชน และตนไม่เห็นด้วยหากจะตั้งพรรคการเมืองขึ้นเป็นพรรคเฉพาะกิจ หรือของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งในอดีตก็เคยมีให้เห็นแล้ว
พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีข้อบังคับหลายเรื่องที่กำหนดให้พรรคการเมืองจะต้องเป็นสถาบัน เป็นของประชาชน และตนเห็นว่าการตั้งพรรคการเมืองไม่ควรยากเกินไป ควรอิงกฎหมายพรรคการเมืองตามรัฐธรรมนูญปี 50 และหากจะเซ็ตซีโร่สมาชิกพรรค ควรจะมีเวลาอย่างน้อย 1 ปีให้พรรคการเมืองได้ทำงาน เนื่องจากตามโรปแม็ปร่างรัฐธรรมนูญจะประกาศใช้ก็ปลายปี และกว่าจะจัดทำพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งเสร็จ ก็เหลือเวลาน้อยมาก ในการที่จะรวบรวมสมาชิก หรือจัดทำพรรคให้เป็นระบบ
“สิ่งสำคัญก่อนการเลือกตั้งครั้งนี้จะต้องให้ความสำคัญกับกฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง 4 ฉบับ เพื่อ ทำกรอบให้การเลือกตั้ง มีการทุจริตน้อยที่สุด บรรลุเป้าหมายปราบโกงตามหัวใจรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องทำพรรคการเมืองให้เป็นของประชาชน ไม่ใช่ของนายทุนและต้องบัญญัติเรื่องเงินสนับสนุนพรรคการเมืองให้ชัดเจน ถ้ามีการใช้เงินเกินจากที่กำหนดต้องนำไปสู่การยุบพรรคได้ รวมถึงการกำหนดเรื่องการคัดตัวผู้สมัคร จะต้องให้สมาชิกพรรคการเมืองมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงไม่ใช่เป็นพรรคของนายทุนเหมือนในอดีต”
พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวว่า สำหรับผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่าจะมีบทเฉพาะกาลให้ส.ว.มีส่วนร่วมในการเลือกนายกรัฐมนตรี แม้จะได้รับเสียงสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ไม่เพียงพอ ตนเห็นว่าจะต้องมีเสียงสนับสนุนจากส.ส.ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ไม่เช่นนั้นเชื่อว่าจะไม่สามารถเดินหน้าบริหารงานได้ หรืออยู่ได้ก็ไม่นาน เพราะการขับเคลื่อนการบริหารประเทศต้องอาศัยส.ส.ที่จะต้องขับเคลื่อนทั้งกฎหมายและการทำงานด้านต่าง ๆ ดังนั้นนายกฯ คนต่อไป ต้องเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับจากทั้งรัฐสภาและสภาผู้แทนราษฎร ส่วนที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว เพิ่มจำนวน สนช.นั้น ตนเห็นว่าเหมาะสม และไม่ได้เพิ่มจำนวนมากเกินไปในอดีตเคยมีสนช. 250 คน จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องดีที่มาช่วยกันทำงาน .-สำนักข่าวไทย