รร.อินเตอร์คอนฯ 13 มี.ค. – รองนายกรัฐมนตรีเศรษฐกิจห่วงปัญหาการเมืองกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติ ยืนยันเศรษฐกิจไทยไม่มีปัญหา องค์กรต่างชาติยังชมความคืบหน้าแก้ปัญหา แต่การเมืองกับบอกเศรษฐกิจทรุด ขุนคลังฝากรัฐวิสาหกิจรวมพลังแข่งกับภาคเอกชน ขณะที่ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจเสนอเชื่อมโยงการเดินทาง-ข้อมูล Big Data รองรับนักท่องเที่ยว การใช้เครื่อข่ายร่วมกันรองรับการแข่งขันยุคดิจิทัล
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเศรษฐกิจ มอบนโยบายกับผู้บริหารรัฐวิสาหกิจระหว่างการสัมมนาผู้บริหารสูงสุดรัฐวิสาหกิจ (SOE CEO Form) ครั้งที่ 3 ว่า ขณะนี้มีความกังวลหลายพรรคการเมืองระบุว่าเศรษฐกิจไทยมีปัญหาจนต้องฟื้นฟูนั้น เป็นการพูดขาดหลักฐานชัดเจน เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง หน่วยงานเศรษฐกิจในประเทศและองค์กรต่างชาติ ทั้งธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และอีกหลายองค์กรยังชื่นชมการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจไทย แต่พรรคการเมืองกลับมองว่ามีปัญหา เพราะเป็นการซ้ำเติมให้เป็นวิกฤติ และขอให้พรรคการเมืองอย่าซ้ำเติมปัญหาจนทำให้ต่างชาติเกิดความกังวลว่าการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งอาจลำบาก เพราะตามรัฐธรรมนูญรัฐบาลจะมาฝากพรรคร่วม จึงไม่มีพรรคใดจองสิทธิ์เป็นรัฐบาลได้ และคงไม่มีใครจองเป็นรัฐบาลตลอดชาติ จึงไม่อยากให้การเมืองทำให้ประเทศถึงทางตัน
ทั้งนี้ ยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ได้หวังสืบทอดอำนาจ เพราะเตรียมพร้อมไปสู่การเลือกตั้งทุกด้าน การเลือกตั้งเป็นทางไปสู่บ้านเมืองที่ดีขึ้น เพราะที่ผ่านมาหลายพรรคการเมืองเป็นรัฐบาลแล้วเป็นอีกหลายรอบ เพื่อหวังสืบทอดอำนาจ แต่ยังไม่เห็นผลงานชัดเจน คำว่าสืบทอดอำนาจจึงไม่ควรนำมากล่าวโจมตีทางการเมือง จึงไม่อยากให้รัฐวิสาหกิจหยุดชะงัก เพราะอีก 2-3 เดือนกว่าจะตั้งรัฐบาลอาจกระทบต่อการลงทุนออกสู่ระบบ เพราะหากการเมืองตีกันกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ารัฐวิสาหกิจพัฒนาไปมากในปัจจุบัน จากเดิมเศรษฐกิจมีปัญหาซบเซาในช่วงที่ผ่านมาท่ามกลางข้อจำกัดหลายด้าน แต่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น จึงขอให้ร่วมกันมุ่งช่วยเหลือชาวบ้านผ่านบัตรสวัสดิการ บ้านล้านหลัง ส่งเสริมเอสเอ็มอี ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งรถไฟฟ้า ท่าเรือ ถนน มอเตอร์เวย์ สนามบิน อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อให้ไทยมีความโดดเด่นในสายตาต่างประเทศ เพราะ Big Data ยังไม่คืบหน้า รัฐวิสาหกิจเร่งเดินหน้าผลักดัน เพราะกระแสโลกทะยานไปไม่หยุดนิ่ง
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวมอบนโยบายว่า ขนาดของรัฐวิสาหกิจไทยสูงถึง 15 ล้านล้านบาทมากกว่าจีดีพีของประเทศ นับเป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ จึงมีพลังต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ที่ผ่านมาปี 2561 มีกำไรสูงถึง 4 ล้านล้านบาท แม้หลายฝ่ายจะมองว่ารัฐวิสาหกิจแข่งกับเอกชนไม่ได้ จึงอยากให้รัฐวิสาหกิจเปลี่ยนแนวคิดเหมือนกับรัฐวิสาหกิจของจีน ปรับเปลี่ยนองค์กรขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับต้นของเวทีโลกหลายราย ดังนั้น รัฐวิสาหกิจไทยต้องแข่งขันกับเอกชนได้แน่นอน เพราะจีนเป็นตัวอย่างทำให้เห็นแล้ว การปรับปรุงประสิทธิภาพ จึงมีความสำคัญในการตอบสนองภารกิจองค์กร หากรัฐวิสาหกิจที่มีขนาด 15 ล้านล้านบาท เกื้อหนุนกันจะมีพลังสูงมากในการแข่งขันกับภาคเอกชน นอกจากนี้ รัฐวิสาหกิจถูกมองว่าเป็นกลุ่มมีการทุจริตคอร์รัปชั่น จึงต้องแก้ไขให้สังคมรับรู้มองเห็นชัดเจน ด้วยการสร้างระบบบริหารความเสี่ยงจากสิ่งไม่ถูกต้อง
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ความร่วมมือของรัฐวิสาหกิจต้องเร่งเดินหน้าผนึกกำลังร่วมกัน เช่น เร่งจ่ายเงิน ชำระเงินแบบ E-Payment ทั้งหมด เพื่อเปลี่ยนระบบชำระเงินให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดต้นทุนของประเทศ ในการโอนเงิน ชำระเงิน เพราะขณะนี้ระบบชำระเงินของไทยทันสมัยที่สุดในอาเซียน จึงต้องการให้ช่วยขับเคลื่อนเป็นหนึ่งเดียวเป็นองค์รวม ไม่ใช่ต่างคนต่างไป
ในเวทีสัมมนาเปิดให้ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจเสนอมาตรการช่วยเหลือหรือร่วมมือกันของรัฐวิสาหกิจ โดยตัวแทนกลุ่มผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ เสนอที่ประชุมในส่วนกลุ่มพลังงานเสนอแนวทางส่งเสริมการเกิดขึ้นของผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ เพื่อตั้งได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องใช้เวลา 1-2 ปี รองรับทันกับความต้องการของตลาด ส่วนภาคขนส่ง เสนอการเชื่อมโยงการเดินทางทั้งทางบก น้ำ อากาศ ให้เชื่อมโยงการเดินทางระหว่างเส้นรถไฟฟ้า สนามบิน เรือ บขส. โดยมีเส้นทางเชื่อมโยงสะดวกและการเชื่อม Big Data ให้รวมอยู่ที่เดียวกันในเว็บไซต์เดียว บอกให้นักท่องเที่ยว ผู้เดินทางเข้าเว็บไซต์เดี่ยว รับรู้การเดินทางใดบ้างสะดวกทั้งเครื่องบิน รถไฟ และเส้นทางอื่น โดยไม่ต้องเข้าเว็บไซต์ของทุกหน่วยงาน กลุ่มสื่อสารเสนอหลังจากเศรษฐกิจดิจิทัลกระแสยุคใหม่เข้าก้าวมากระทบต่อรัฐวิสาหกิจให้เกิดปัญหา สูญเสียรายได้ ทั้งทีวีดิจิทัล กระแสสังคมออนไลน์ บมจ.อสมท, ไปรษณีย์, กสท โทรคมนาคม, ทีโอที จึงเสนอการอำนวยความสะดวกดิจิทัลเซอร์วิส เสนอให้ สคร.พึ่งพาร่วมกันระหว่างรัฐวิสาหกิจในการพึ่งพาเครือข่ายร่วมกัน เช่น EECi , EECd และยังมี พ.ร.บ.ไซเบอร์ผ่านความเห็นชอบแล้ว ทุกหน่วยงานต้องศึกษาผลกระทบ ยอมรับว่า กสท โทรคมนาคม และทีโอที องค์กรอายุนับร้อยปีอยู่ท่ามกลางการแข่งขันยุคดิจิทัลย่อมลำบากในการแข่งขันกับภาคเอกชน ต้องได้รับการส่งเสริมจากรัฐ และทำงานร่วมกับภาคเอกชน การทำงานร่วมกับของทุกหน่วยงานจะแข่งขันกับต่างชาติและภาคเอกชนได้ เช่น การใช้ไฟเบอร์ออฟติก ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพราะการร่วมมือจะทำให้เกิดศักยภาพในการแข่งขัน เพื่อเกิดธุรกิจใหม่ หากร่วมมือกัน เพราะธุรกิจดิจิทัลอาศัยวิธีคิดแบบใหม่
กลุ่มสาธารณูปโภค การจัดซื้อจัดจ้างเสนอให้ชำระเงิน ชำระหนี้ผ่าน E-Payment ของหน่วยงานรัฐ ในการจ่ายค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม เช่น โรงงานยาสูบ เมื่อมีเครื่องพิมพ์ทันสมัย แต่แนวโน้มผลิตบุหรี่น้อยลง แต่สามารถรองรับการจัดพิมพ์ที่ปลอดภัยให้กับหลายองค์กร ด้วยการสร้างเครือข่ายและต่อยอดซึ่งกันและกัน เมื่อร่วมกันพัฒนาดิจิทัล ทุกรัฐวิสาหกิจจะใช้ เครื่องมือ เครื่องจักร ร่วมกันได้ ขณะนี้ก้าวเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม องค์กรสุรา ไม่ได้ผลิตสุราขายเพียงอย่างเดียว แต่ผลิตแอลกอฮอล์รองรับอุตสาหกรรมสุขภาพ สินค้าทางการแพทย์ ซึ่งได้จัดทำแแผนปฏิรูปธุรกิจ เพราะผลิตสุราขาวแบบเดิมไม่ได้แล้ว จึงต้องร่วมมือกับทุกองค์กร จึงเสนอระบบชำระเงินด้วยกันระหว่างรัฐต่อรัฐนับหลายแสนล้านบาทต่อปี เพื่อเกิดความสะดวกในส่วนของกลุ่มแบงก์รัฐเห็นด้วยกับการเชื่อมโยงข้อมูลในการชำระเงิน ร่วมกับกลุ่มสาธารณูปโภค ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูล Big Data ระหว่างลูกค้าแบงก์รัฐ 20 ล้านคนกับสาธารณูปโภค เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ร่วมกัน. – สำนักข่าวไทย