ยธ.6 ธ.ค.-รมว.ยุติธรรม ไม่ก้าวก่ายคดีพระธัมมชโย มอบดีเอสไอยืนยันทำคดีเต็มที่ เพราะถ้าไม่ทำเม่ากับทำลายตัวเอง
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม(ยธ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการออกหมายจับพระเทพญาณมหามุนี (พระธัมมชโย) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ว่า เรื่องนี้ได้สั่งการและมอบหมายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เร่งดำเนินการและทำให้เต็มที่ ซึ่งตนไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายการทำงาน ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำให้เต็มที่เพราะมีหลายส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งหากต้องการทราบความชัดเจนเขอให้ไปถาม พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ว่ามีความก้าวหน้าอย่างไร สำหรับตนไม่มีอะไรเพราะได้สั่งการไปแล้วทั้งหมด
รมว.ยุติธรรม กล่าวต่อไปว่า การดำเนินการต่างๆ ต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย คงจะเสร็จสิ้น รวดเร็วตามที่สื่อเขียน หรือประชาชนคาดหวังคงยาก เพราะมีขั้นตอนปฏิบัติไว้อยู่แล้ว แต่พยายามทำให้เต็มที่ ใครผิดก็ว่าตามผิด เพราะถ้าดีเอสไอไม่ทำเรื่องนี้ก็เท่ากับเป็นการทำลายตัวเอง และทำให้สังคมเกิดความคลางแคลงใจในองค์กรได้
อย่างไรก็ตามได้เตรียมแผนการรองรับไว้ ทั้ง 2 กรณี ทั้งหากมีการมอบตัว และไม่ยอมมอบตัว จะต้องทำอย่างไรแต่ไม่ขอลงรายละเอียดเพราะจะเสียรูปคดี ซึ่งถ้าไม่ยอมมอบตัว เจ้าหน้าที่ก็ต้องไปตามมา ทุกเรื่องได้พูดคุยกันหมดแล้วว่า ถ้าไม่มี หรือมี ต้องทำอย่างไรกันบ้าง ส่วนกรณีหากเจ้าหน้าที่บุกเข้าไปจับกุมตัวตามกฎหมายแล้วเกิดการกระทบกระทั่งขึ้นนั้น เจ้าหน้าที่รู้ขั้นตอนทั้งหมดแล้วว่าจะใช้วิธีการอย่างไร
ขณะที่การขอประกันตัวหากพระธัมมชโย มอบตัว ขั้นตอนของดีเอสไออยู่ในชั้นศาลแล้ว เชื่อว่าทนายความของวัดคงรู้ขั้นตอนของกฏหมายดีไม่ต้องอธิบายกันมาก ด้านขั้นตอนการออกหมายค้นภายในวัดธรรมกายนั้น สั่งการให้อธิบดีดีเอสไอทำคู่ขนานกับคดีไป เพราะล่าสุดที่สอบถามอาจจะต้องมีการใช้เอกสารยืนยันตัวบุคคล หากต้องใช้ก็ต้องเร่งดำเนินการ แต่ถ้าไม่ให้เดินหน้าทันที
รมว.ยุติธรรม กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่วัดพระธรรมกาย แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติว่า ได้เปลี่ยนตัวรักษาการเจ้าอาวาส จากพระทัตตชีโว เป็นพระสุธรรมญานวิเทศ ขึ้นมารักษาการแทน หลังพระทัตตชีโวถูกออกหมายเรียกฐานในข้อหาให้ที่พักพิงกับผู้ต้องหา คือพระธัมมชโย และเป็นเจ้าพนักงานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ เพราะไม่ส่งตัวพระธัมมชโยให้อัยการนั้น เรื่องนี้ไม่มีปัญหาเพราะวัดในพุทธศาสนาอยู่ภายใต้กฎหมายของสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ทุกอย่างมีหลักฐานยืนยันได้อยู่แล้วแต่ถ้าบอกว่าไม่ใช่ก็ต้องให้ความเป็นธรรม ต้องนำเอกสารหลักฐานมายืนยันตัวตน แต่ถ้าใช่แล้วมาบอกว่าไม่ใช่ก็คงต้องรับโทษตามกฎหมาย
ทั้งนี้ การดำเนินการต้องรอทางสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ที่แจ้งไว้ว่าจะเดินทางเข้าหารือกับทางดีเอสไอในวันนี้ว่าจะมีความชัดเจนอย่างไรได้บ้าง .-สำนักข่าวไทย