กลุ่มผู้ค้าน 4 โครงการแก้ไขปัญหาน้ำยืนยันต้องยุติการสร้าง

กรุงเทพฯ 26 ม.ค.-เครือข่ายปกป้องดินน้ำป่านครศรีธรรมราช-พัทลุงที่ชุมนุมด้านหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรียกร้องให้ยุติการสร้างเขื่อน-คลองผันน้ำ-ประตูกั้นน้ำ 4 แห่งในจังหวัดนครศรีธรรมราชและพัทลุง


นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล ผู้แทนเครือข่ายเครือข่ายปกป้องดินน้ำป่านครศรีธรรมราช-พัทลุง กล่าวว่า เมื่อวานนี้ (25 ม.ค.) ได้ยื่นหนังสือเพื่อรียกร้องให้ยุติการสร้างเขื่อน-คลองผันน้ำ-ประตูกั้นน้ำ 4 แห่งในทั้งจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดพัทลุงคือ โครงการประตูกั้นน้ำปากประ จังหวัดพัทลุง โครงการอ่างเก็บน้ำคลองสังข์ โครงการอ่างเก็บน้ำวังหีบ และโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช ถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีนายมีศักดิ์ ภักดีคง รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายเฉลิมเกียรติ คงวิเชียรวัฒน์ และนายประพิศ จันทร์มา รองอธิบดีกรมชลประทาน ร่วมรับฟังข้อร้องเรียนและรับหนังสือขอให้เรียกร้องให้ยุติทั้ง 4 โครงการ ซึ่งนายมีศักดิ์ได้รับหนังสือร้องเรียนไป โดยระบุว่าจะนำไปหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขณะที่รองอธิบดีกรมชลประทานยังคงยืนยันว่า จำเป็นต้องดำเนินโครงการต่อไป แต่พร้อมรับฟังข้อเสนอแนะในการปรับรายละเอียดโครงการก่อสร้าง โดยไม่ได้ชี้แจงถึงข้อมูลผลการสำรวจพื้นที่และข้อมูลทางวิชาการ ตลอดจนผลการศึกษาผลกระทบทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมต่อชาวบ้านแต่อย่างใด 

ทั้งนี้ กลุ่มชาวบ้านที่เดินทางมาชุมนุม ยืนยันว่ารัฐต้องระงับการดำเนินโครงการก่อน ชาวบ้านจึงจะร่วมหารือแนวทางพัฒนาลุ่มน้ำ โดยจะให้เวลาถึงช่วงบ่ายวันนี้ (26 ม.ค.) หากยังคงยืนยันเดินหน้าโครงการเช่นเดิม จะยกระดับการเคลื่อนไหว โดยในวันนี้และพรุ่งนี้ (27 ม.ค.) จะมีชาวบ้านเดินทางมาสมทบ


นายประสิทธิ์ชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้จะรอฟังคำชี้แจงจากกรมชลประทาน ตามที่ได้ส่งหนังสือเรียกร้องให้ยุติการดำเนินการก่อสร้างเขื่อน-คลองผันน้ำ-ประตูกั้นน้ำ 4 แห่งในทั้ง 2 จังหวัด และทางเครือข่ายฯ มองว่า การยื่นฟ้องศาลปกครองอาจได้เพียงคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ระงับโครงการ แต่สิ่งที่ต้องการคือ ให้ครม. มีมติยกเลิกโครงการโครงการเขื่อนวังหีบ อ.ทุ่งสง  จ.พัทลุงและโครงการคลองผันน้ำเมืองนคร จ.นครศรีธรรมราชซึ่งครม. ได้อนุมัติให้ดำเนินการก่อนหน้านี้ ส่วนโครงการเขื่อนคลองสังข์ อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราชและโครงการประตูกั้นน้ำปากประ จังหวัดพัทลุงซึ่งยังไม่มีมติครม. ดังนั้นกรมชลประทานสมควรทำหนังสือยุติโครงการทันที

ทั้งนี้ทางเครือข่ายเห็นว่า ปัญหาอุทกภัยซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญในใช้อ้างอิงในการดำเนินโครงการนั้น เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทุกที่ เมื่อมีฝนตกหนัก แต่ด้วยสภาพภูมิประเทศของภาคใต้ซึ่งเป็นที่ลาด อีกทั้งมีทางออกสู่ทะเล ไม่ได้ทำให้น้ำท่วมขังนาน ไม่จำเป็นต้องแก้ปัญหาด้วยการใช้งบประมาณมหาศาลทำเขื่อนหรือโครงการขนาดใหญ่ซึ่งจากข้อมูล ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แต่รัฐบาลสามารถแก้ปัญหาและพัฒนาแหล่งน้ำโดยไม่ต้องใช้โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ได้ แล้วหันไปแก้ปัญหาโดยจัดผังเมือง กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำเช่น สะพานหรือถนนที่ขวางทางระบายน้ำออกสู่ทะเล ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและวิถีชีวิตชุมชน และในเวลา 10.00 น. เครือข่ายจะประกาศแถลงการณ์การณ์เรียกร้องให้ยุติทั้ง 4 โครงการ

นายเจกะพันธ์ พรหมมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายปกป้องดินน้ำป่านครศรีธรรมราช-พัทลุง กล่าวว่า ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างเขื่อนวังหีบ อ.ทุ่งสง  จ.พัทลุงซึ่งครม. อนุมัติให้ดำเนินโครงการนั้น ได้เดินทางมาเพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีให้ยุติโครงการดังกล่าวเนื่องจากข้อมูลที่ใช้ในการพิจารณาอนุมัตินั้น ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง  โครงการที่ออกมาโดยระบุว่า เพื่อสนับสนุนน้ำเพื่อการเกษตรนั้น ปัจจุบันสภาพพื้นที่ได้เปลี่ยนแปลงไป เดิมประชาชนประกอบอาชีพทำนา แล้วประสบปัญหาขาดแคลนน้ำจึงมีผู้ทำหนังสือถึงหน่วยงานรัฐให้ช่วยเหลือ แต่จนถึงปัจจุบัน ผืนนากลายเป็นสวนยางพาราหมดแล้ว ไม่ได้ประสบปัญหาน้ำไม่เพียงพอเหมือนในอดีต ส่วนวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันน้ำท่วมนั้นสืบเนื่องจากในปี 2531 มีน้ำท่วมใหญ่ที่อำเภอพิปูนและกะทูน แต่ที่ระบุว่า จำเป็นต้องสร้างเพื่อป้องกันน้ำท่วมตัวเมืองทุ่งสงนั้น ชาวบ้านเห็นว่า ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันเนื่องจากคลองวังหีบห่างจากตัวเมืองทุ่งสง 4 กิโลเมตร อีกทั้งยังมีเนินกั้นระหว่างเมืองทุ่งสงกับคลองวังหีบ น้ำจึงไม่สามารถไปท่วมเมืองทุ่งสงได้ สำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการผลิตน้ำประปา ข้อเท็จจริงนั้น สำหรับการทำน้ำประปานั้นปัจจุบันใช้น้ำอีก 2 สายเกินพอสำหรับทำน้ำประปา พื้นที่ที่จะสร้างอ่างเก็บน้ำวังหีบ ห่างจากเมืองทุ่งสง 17 กิโลเมตร ความจุ 20 ล้านลูกบาศก์เมตร งบประมาณก่อสร้าง 2,300 ล้านบาท ชาวบ้านประเมินค่าลงทุนสำหรับผลิตน้ำประปาอยู่ที่ 115 บาทต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งไม่คุ้มค่าแน่นอน  อีกทั้งพื้นที่วังหีบมีผืนป่าต้นน้ำชั้น 1 A ซึ่งมีเหลือน้อยมากในประเทศไทย  หากก่อสร้างอ่างเก็บน้ำจะทำลายผืนป่า ชาวบ้านจึงคัดค้านอย่างเต็มที่  ทั้งนี้รอคำชี้แจงจากทั้งกรมชลประทานซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดำเนินโครงการและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบแผนบริหารจัดการน้ำทั้งประเทศ หากไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ในวันจันทร์นี้(28 ม.ค.)กลุ่มผู้ชุมนุมจะเคลื่อนย้ายจากหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีให้ยุติโครงการทั้งหมด


 นายเจกะพันธ์ ยังกล่าวถึงแถลงการณ์ของนายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสทนช. ซึ่งชี้แจงแนวทางบริหารจัดการน้ำภาคใต้นำเสนอต่อเครือข่ายฯ ว่า ทางเครือข่ายฯ และชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างเขื่อนวังหีบ อ.ทุ่งสง  จ.พัทลุงอ่านแล้วเห็นว่า สทนช. ซึ่งทำหน้าที่วางแผนบริหารจัดการน้ำของประเทศนั้น มีแนวทางชัดเจนที่จะทำโครงการพัฒนาแหล่งน้ำต่าง ๆ เพื่อรองรับภาคอุตสาหกรรมคือ เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ซึ่งครม. อนุมัติให้ดำเนินโครงการในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ฝั่งอ่าวไทยได้แก่ ชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี และสงขลา ส่วนฝั่งอันดามันได้แก่ กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล นอกจากนี้ยังพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อสนับสนุนการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมนาบอน อำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราชซึ่งอยู่ติดกับอำเภอวังหีบ โดยเฉพาะข้อความในช่วงท้ายของแถลงการณ์ที่ระบุว่า หน่วยงานต่างๆ ต้องดำเนินการขับเคลื่อนโครงการตามที่กฎหมายและระเบียบกำหนดไว้ทุกขั้นตอน แสดงว่า สทนช. ไม่ได้รับฟังความคิดเห็นหรือพิจารณาถึงความเดือดร้อนของชาวบ้านในพื้นที่ที่จะต้องโยกย้ายถิ่นฐานจากการทำโครงการดังกล่าว รวมถึงไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศ โดยเฉพาะป่าต้นน้ำชั้น 1 A ในอำเภอวังหีบ

ในระหว่างการชุมนุมมีการปราศรัยในกลุ่มผู้ชุมนุม พร้อมทั้งทำเฟซบุ๊กไลฟ์เพื่อชี้แจงต่อประชาชนในพื้นที่และผู้สนใจให้รับทราบถึงเหตุผลที่เรียกร้องให้ยุติโครงการ ซึ่งมีสาระสำคัญตามหนังสือที่ส่งถึงนายกรัฐมนตรี คือ โครงการเขื่อนวังหีบ อ.ทุ่งสง จ.พัทลุง ที่ระบุว่าเพื่อป้องกันน้ำท่วมเมืองทุ่งสง เพื่อการผลิตน้ำประปา เพื่อการเกษตร แต่ข้อเท็จจริงนั้น คลองวังหีบไม่ได้ผ่านเมืองทุ่งสง สำหรับการทำน้ำประปานั้น ปัจจุบันใช้น้ำอีก 2 สายเชื่อว่ามีปริมาณน้ำเกินพอสำหรับทำน้ำประปา และสำหรับการปลูกพืชได้เปลี่ยนแปลงสภาพไปหมดแล้ว จึงขอให้ศึกษาแนวทางอื่นสำหรับการแก้ปัญหา โดยไม่กระทบต่อชีวิตของประชาชนและระบบนิเวศ การสร้างเขื่อนไม่ได้ช่วยลดผลกระทบจากน้ำท่วม/น้ำแล้ง ส่วนการแก้ปัญหาน้ำเพื่อการเกษตร สามารถออกแบบระบบชลประทานขนาดเล็กโดยไม่เปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของสายน้ำเดิม

โครงการเขื่อนคลองสังข์ อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ที่รัฐระบุว่าเพื่อการป้องกันน้ำท่วมอำเภอทุ่งใหญ่ และเพื่อการเกษตร เป็นเหตุผลเดียวกันกับการสร้างเขื่อนวังหีบ โดยจะสร้างเขื่อน เป็นการแก้ปัญหาที่ละเลยต้นเหตุ 

โครงการคลองผันน้ำเมืองนคร จ.นครศรีธรรมราช ที่ระบุว่า เพื่อการป้องกันน้ำท่วมเมืองนคร โดยแท้ที่จริงแล้วสาเหตุหลักของน้ำท่วมเขตเทศบาลนครศรีธรรมราช เกิดจากการปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างขวางทางน้ำ การสร้างถนนขวางทางน้ำ การวางระบบผังเมืองผิดพลาด เป็นต้น กลุ่มผู้คัดค้านเห็นว่า การสร้างคลองผันน้ำแก้ปัญหาได้เพียงเล็กน้อย แต่ใช้งบประมาณเกือบ 10,000 ล้านบาท ในขณะที่ต้องไล่รื้อเวนคืนที่ดิน ทำให้คนไร้ที่อยู่ พรากคนจากแผ่นดินเกิด จำนวนมาก ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ จึงขอให้แก้ไขถนนที่ขวางทางน้ำ แก้ไขระบบระบายน้ำ ปรับปรุงขุดลอกคลองในเมืองให้มีประสิทธิภาพในการระบายน้ำ ปรับปรุงท่อระบายน้ำ เข้มงวดกับการก่อสร้างที่นำไปสู่การขวางทางน้ำ

ส่วนโครงการประตูกั้นน้ำปากประ จังหวัดพัทลุง ที่ ระบุว่าเพื่อป้องกันน้ำเค็มเข้าสู่คลองปากประ โดยข้อเท็จจริงนั้น ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา มีน้ำเค็มรุกล้ำเข้ามาเพียงครั้งเดียวและไม่ได้ก่อความเดือดร้อนขั้นร้ายแรงต่อประชาชน  การสร้างประตูกั้นน้ำ จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศแหล่งน้ำ 3 แหล่ง จึงขอให้ยกเลิกโครงการ

ในที่ชุมนุมของกลุ่มผู้คัดค้านยังระบุถึง บทบาทของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ซึ่งปัจจุบันมีหน้าที่ดูแลการบริหารจัดการน้ำทั้งหมดของประเทศ โดยมีนายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เป็นเลขาธิการฯ กำกับดูแลโดยพลเอกฉัตรชัย สาริกัลป์ยะ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 61 ได้เดินทางไปติดตามความคืบหน้าโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช รวมทั้งเป็นสักขีพยานในการมอบค่าชดเชยที่ดินให้แก่ชาวบ้าน 9 รายที่สละที่ดินให้การก่อสร้างโครงการดังกล่าวว่า 

ดังนั้น ในฐานะที่เป็นผู้กำกับดูแลและเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ต้องมารับฟังปัญหาจากกลุ่มผู้คัดค้าน รวมทั้งศึกษาแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำในรูปแบบที่ไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและวิถีชีวิต  ฉะนั้นในวันจันทร์ที่ 29 มกราคม 62 จะแบ่งกลุ่มเดินทางไปยื่นข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการ สทนช.เพื่อชี้แจงว่า ทางเลือกการจัดการน้ำที่ไม่ทำลายระบบนิเวศและชีวิตของประชาชนยังมีอีกมากมายหลายทาง หากรัฐบาลสนใจประเมินผลเชิงยุทธศาสตร์เพื่อสร้างทางเลือกการจัดการน้ำที่ดีที่สุด โดยไม่ใช้วิธีคิดเดียวคือการสร้างเขื่อน ขุดคลอง ที่ก่อเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศ อย่างร้ายแรง  ทั้งนี้ เครือข่ายปกป้องดินน้ำป่านครศรีธรรมราช-พัทลุง รัฐบาลต้องยกเลิกโครงการทั้ง 4 โครงการ และออกแบบการแก้ปัญหาใหม่ตามข้อเสนอแนะของภาคประชาชน ซึ่งจะช่วยประหยัดงบประมาณของรัฐบาล ไม่ทำร้ายประชาชน และเป็นการรักษาระบบนิเวศที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดให้อยู่คู่กับแผ่นดินต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ประสานงานเครือข่ายปกป้องดินน้ำป่า นครศรีธรรมราช-พัทลุงได้ร่วมกันอ่านแถลงการณ์เจตนารมณ์การชุมนุมหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า ตามที่เครือข่ายฯได้มาปักหลักชุมนุมตั้งแต่วันที่ 25 มค.62 โดยมีเครือข่ายเข้าร่วม 4 พื้นที่ กว่า 200 คน เมื่อวานเดินขบวนมาจากหัวลำโพง จากนั้นเข้าพบเจรจากับนายมีศักดิ์ ภักดีคง รองปลัดกระทรวงเกษตร และรองอธิบดีกรมชลประทานอีก 2 คน ผลการหารือปรากฏว่า ที่ประชุมไม่ได้ให้ความสำคัญกับข้อเรียกร้องของเครือข่ายมากนัก โดยระบุโครงการทั้ง 4 โครงการจัดทำขึ้นจากความเดือดร้อนประชาชน ทำตามรัฐธรรมนูญและระเบียบราชการ อีกทั้งยังให้หน่วยงานในสังกัดและจังหวัดเร่งทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่และแนะนำให้ประชาชนฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ทางเครือข่ายฯ ขอย้ำว่า จากนี้เป็นต้นไปจะไม่เจรจากับกรมชลประทานอีก และนับจากนี้ไปการดำเนินการใดๆ ของกรมชลประทานและกระทรวงเกษตรฯ นั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบ

ผู้ประสานงานเครือข่ายระบุว่า ท่าทีของภาครัฐที่มีต่อชาวบ้านเป็นท่าทีที่เปรียบได้ว่า เป็นการดับเครื่องชน ทั้งนี้ในวันอาทิตย์ที่ 27 มค.62 ทางเครือข่ายฯ ขอเรียกร้องต่อประชาชนทั่วประเทศได้ออกมาร่วมปกป้อง ดินน้ำป่า กับทางเครือข่าย เพราะมีเพียงอำนาจประชาชนเท่านั้น ที่จะปกป้องทรัพยากรธรรมชาติไว้ได้ โดยขอเชิญเข้าร่วมกิจกรรม รวมพลคนรักดินน้ำป่า ประเทศไทย ครั้งที่ 1 หน้าสำนักงาน สปก.ในวันพรุ่งนี้ ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป สำหรับการยกระดับการเคลื่อนไหวต่อไป อยู่ระหว่างเตรียมการณ์ และในวันพรุ่งนี้จะมีชาวบ้านที่เดือดร้อนจากทั้ง 2 จังหวัดมาสมทบ-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” นำค้นวัดไร่ขิง 3 จุด เผยอดีตเจ้าคุณแย้มสารภาพไม่หมด

นครปฐม 16 พ.ค.-“บิ๊กเต่า” นำกำลังตำรวจกองปราบบุกค้นวัดไร่ขิง 3 จุด หาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เอี่ยวคดียักยอกเงินวัด 300 ล้าน พร้อมนำหมายค้นบ้านประชาชน 1 จุด ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่วัด เผยอดีตเจ้าคุณแย้มสารภาพไม่หมด เวลา 07.00 น. พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ ป.ป.ช. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. ตรวจค้นภายในวัดไร่ขิงพระอารามหลวง มีทั้งหมด 3 จุด และบริเวณโดยรอบอีก 1 จุด ซึ่งจุดแรกในวัดไร่ขิงคือกุฏิของพระธรรมวชิรานุวัตร หรือเจ้าคุณแย้ม อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงและเจ้าคณะภาค 14 โดยมีผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงเป็นผู้ที่นำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นภายในกุฎิ พร้อมสังเกตการณ์ ทันทีที่เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการถึงบริเวณหน้ากุฎิเจ้าอาวาส ได้ให้ตำรวจอ่านหมายค้น เพื่อเข้าตรวจสอบและยึดสิ่งของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการกระทำความผิด ทั้งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือและเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปใช้ประกอบหลักฐานการสอบสวนไต่สวนมูลฟ้องในการพิจารณาความผิด ขณะที่พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากการอ่านหมายค้น ว่า วันนี้เป็นการตรวจค้นเกี่ยวกับเส้นเงินที่ไหลไปตามบัญชีต่างๆ มีใครเกี่ยวข้องบ้าง ต้องมีการเรียกสอบรายบุคคลพร้อมกับการตรวจค้น โดยหลักๆ ส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับเส้นเงินที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ โดยมุ่งเน้นไปยังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ […]

2 ผู้ต้องหามอบตัว คดีเผานั่งยาง 3 ศพ ในสวนปาล์ม

ตรัง 16 พ.ค. – หัวหน้าแก๊ง พร้อมลูกน้องอีก 1 คน ก่อเหตุเผานั่งยาง 3 ศพในสวนปาล์มน้ำมัน จ.ตรัง ติดต่อขอมอบตัว หวั่นถูกวิสามัญ หลังเจ้าหน้าที่ระดมกำลังไล่ล่า เช้านี้ ตำรวจ สภ.โคกนา เจ้าของพื้นที่คดีเผานั่งยาง 3 ศพ ในสวนปาล์มน้ำมัน อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ได้รับการประสานจากอดีตสมาชิกสภาจังหวัด ในพื้นที่อำเภอสิเกาว่า จะนำตัว 2 ผู้ต้องหาเข้ามอบตัว คือ นายศุภกรณ์ หรือบิน อายุ 37 ปี ชาวตำบลกะลาเส อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊ง และนายจรณชัย หรือแต้ม อายุ 32 ปี ชาวหมู่ 7 ตำบลน้ำผุด อำเภอเมือง จังหวัดตรัง เนื่องจากผู้ต้องหาทั้งสองคน กังวลเรื่องความปลอดภัย หากหลบหนีต่อไป เกรงถูกวิสามัญฆาตกรรม หลังเจ้าหน้าที่และชาวบ้าน ระดมปิดล้อมบ้านเขาหลัก […]

ลงนามถอดถอน “เจ้าคุณแย้ม” จากทุกตำแหน่ง

15 พ.ค.- เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ลงนามถอดถอน “เจ้าคุณแย้ม” จากหน้าที่ทุกตำแหน่ง เหตุถูกดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวข้องกับคดีอาญา สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ลงนามในหนังสือ คำสั่งถอดถอนพระสังมาธิการ พระธรรมวชิรานุวัตร พักจากตำแหน่งหน้าที่ทุกตำแหน่ง ทั้งเจ้าคณะภาค 14 และ เจ้าอาวาสวัดไร่ชิงพระอารามหลวง หลังจากทราบเรื่องว่าถูกดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวข้องกับคดีอาญา จึงได้อาศัยอำนาจตามความในข้อ 56 แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ. 2553) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังมาธิการ ออกตามความในพระราชบัญญัติคุณะสูงณ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเดิมโดยพระราชบัญญัติคณะสงน์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ให้เหตุผลว่า ถ้าจะให้คงอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ในระหว่างการสอบสวนจะเป็นการเสียหายแก่การคณะสงฆ์ .-สำนักข่าวไทย

เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงยอมสึก คำให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี

15 พ.ค.- เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงยอมลาสิกขาด้วยตัวเอง หลังถูกเค้นสอบนานกว่า 8 ชม. เบื้องต้นยอมให้การแล้ว คำให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ช่วงหนึ่งของการสอบปากคำ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้อุ้มพระพุทธรูป ปางสมาธิองค์สีดำ ถือเข้าไปไปยังห้องสอบสวนที่สอบปากคำพระธรรมวชิรานุวัตร (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม เจ้าคณะภาค 14 สังเกตพบว่ามีการนำพระพุทธรูปวางไว้บนโต๊ะบริเวณด้านหน้าของ พระธรรมวชิรานุวัตร โดยมีรายงานจากเจ้าหน้าที่ว่า พระธรรมวชิรานุวัตร ยอมทำพิธีลาสิกขาบทด้วยตัวเอง แต่ยังไม่เริ่มพิธีเนื่องจากรอชุดเสื้อผ้าเปลี่ยนหลังทำพิธีลาสิกขาบทแล้วเสร็จ ส่วนการสอบปากคำ เบื้องต้นทางพระธรรมวชิรานุวัตร ยอมให้การกับพนักงานสอบสวนแล้ว และให้การไปในทิศทางที่ดี ซึ่งปรากฏว่าทางพระธรรมวชิรานุวัตร ได้โอนเงินไปให้กับผู้ต้องหาที่ 2 เป็นจำนวนเงินหลักร้อยล้านบาท ในช่วงปี 2564 ซึ่งข้อมูลนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการสอบปากคำหาข้อเท็จจริง ว่ามีการทำธุรกรรมด้วยสาเหตุใด แต่พบบางส่วนเข้าไปพัวพันกับเว็บการพนัน .-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ผนังโรงงานถล่มทับรถยนต์เสียหาย 7 คัน-เจ็บเล็กน้อย 1 คน

ชลบุรี 16 พ.ค. – ผนังอาคารโรงงานแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ อ.พานทอง จ.ชลบุรี ถล่มทับรถยนต์ที่จอดอยู่ด้านข้างเสียหายรวม 7 คัน และพนักงานบาดเจ็บเล็กน้อย 1 คน ผนังอาคารพังถล่มที่บริษัทแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ อ.พานทอง จ.ชลบุรี โดยส่วนที่พังเป็นฝาผนังที่ต่อเติมยื่นออกมาของอาคารชั้น 2 ถล่มลงมาทับรถยนต์ที่จอดอยู่ด้านข้าง เสียหายรวม 7 คัน เบื้องต้นมีพนักงานบริษัทเป็นหญิงได้รับบาดเจ็บ 1 คน บริษัทนำส่งโรงพยาบาล สอบถามพนักงานบริษัทเล่าว่า ได้ยินเสียงตึ้มเลยพากันวิ่งออกมา ตอนแรกนึกว่าเสียงฟ้า โดยตรงนั้นเป็นอาคารฝ่ายบุคคล จะไม่มีคนไปนอน ด้านผู้กำกับการ สภ.พานทอง เปิดเผยว่า เหตุการณ์นี้มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย วิศวกรบริษัทเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว และบริษัททำประกันภัยไว้ คงไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งต้องประเมินความเสียหายทั้งอาคารและรถยนต์ที่เสียหาย เพื่อชดใช้ตามกฎหมายต่อไป.-สำนักข่าวไทย

2 ผู้ต้องหามอบตัว คดีเผานั่งยาง 3 ศพ ในสวนปาล์ม

ตรัง 16 พ.ค. – หัวหน้าแก๊ง พร้อมลูกน้องอีก 1 คน ก่อเหตุเผานั่งยาง 3 ศพในสวนปาล์มน้ำมัน จ.ตรัง ติดต่อขอมอบตัว หวั่นถูกวิสามัญ หลังเจ้าหน้าที่ระดมกำลังไล่ล่า เช้านี้ ตำรวจ สภ.โคกนา เจ้าของพื้นที่คดีเผานั่งยาง 3 ศพ ในสวนปาล์มน้ำมัน อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ได้รับการประสานจากอดีตสมาชิกสภาจังหวัด ในพื้นที่อำเภอสิเกาว่า จะนำตัว 2 ผู้ต้องหาเข้ามอบตัว คือ นายศุภกรณ์ หรือบิน อายุ 37 ปี ชาวตำบลกะลาเส อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊ง และนายจรณชัย หรือแต้ม อายุ 32 ปี ชาวหมู่ 7 ตำบลน้ำผุด อำเภอเมือง จังหวัดตรัง เนื่องจากผู้ต้องหาทั้งสองคน กังวลเรื่องความปลอดภัย หากหลบหนีต่อไป เกรงถูกวิสามัญฆาตกรรม หลังเจ้าหน้าที่และชาวบ้าน ระดมปิดล้อมบ้านเขาหลัก […]

นายกฯ ร่วมพิธีวางพวงมาลาอนุสาวรีย์วีรชนและผู้เสียสละบั๊กเซิน

เวียดนาม 16 พ.ค.-นายกฯ ร่วมพิธีวางพวงมาลาอนุสาวรีย์วีรชนและผู้เสียสละบั๊กเซิน รวมทั้งสุสานโฮจิมินห์ เน้นย้ำไทยให้ความสำคัญประวัติศาสตร์และมิตรภาพกับเวียดนาม นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมพิธีวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์วีรชนและผู้เสียสละบั๊กเซิน ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานสำคัญที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของนักปฏิวัติผู้เสียสละชีวิต เมื่อปี ค.ศ. 1940 ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของขบวนการต่อสู้ของเวียดนามภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ โดยตั้งอยู่บนถนนบั๊กเซิน (Bạch Sơn Street) ในพื้นที่ใกล้กับจัตุรัสบาดิ่งห์ โดยออกแบบในสไตล์ศิลปะสังคมนิยม ที่ประกอบด้วยกลุ่มรูปปั้นนักรบปฏิวัติ แสดงถึงความกล้าหาญและความสามัคคีของนักต่อสู้เพื่อเอกราชของเวียดนาม หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทางต่อไปยังสุสานโฮจิมินห์ ตั้งอยู่ที่จัตุรัสบาดิ่งห์ สถานที่ซึ่งอดีตผู้นำโฮจิมินห์เคยอ่านคำประกาศเอกราชของเวียดนามในปี ค.ศ.1945 ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมทรงอนุสรณ์สถาน โดยใช้หินอ่อนและหินแกรนิตคุณภาพสูง ผสมผสานระหว่างศิลปะสังคมนิยม กับเอกลักษณ์เวียดนาม โดยโฮจิมินห์เป็นบุคคลสำคัญของเวียดนาม ผู้ได้รับการยกย่องในฐานะ “บิดาแห่งชาติ” ที่นำพาประเทศสู่การประกาศเอกราช และเป็นผู้ประกาศก่อตั้งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ทั้งนี้ การเข้าร่วมพิธีวางพวงมาลา ณ สถานที่สำคัญของเวียดนามครั้งนี้ แสดงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและเวียดนาม ตลอดจนการให้ความสำคัญต่อประวัติศาสตร์และการเมืองของประเทศพันธมิตรที่สำคัญของไทยอย่างเวียดนาม จากนั้น เวลา 10.00 น. นายกรัฐมนตรีและคณะจะเข้าร่วมประชุมหารือทวิภาคีกลุ่มเล็ก กับนายกรัฐมนตรี สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ณ ทำเนียบรัฐบาล.-314.-สำนักข่าวไทย

“เปรมชัย” นั่งวีลแชร์ เข้ามอบตัว กรณีตึกกำลังสร้าง สตง. ถล่ม

กทม. 16 พ.ค.-“เปรมชัย” ผู้บริหารบริษัทอิตาเลียนไทย นั่งวีลแชร์ เข้ามอบตัวพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ กรณีตึกกำลังสร้าง สตง. ถล่ม ด้านวิศวกร ผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง ทยอยเข้ามอบตัวเช่นกัน เวลา 08.00 น. นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประมูลโครงการก่อสร้างหลัก อาคาร สตง.แห่งใหม่ ซึ่งพังถล่มเมื่อวันที่ 28 มีนาคม จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว และตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ฐาน “เป็นผู้มีวิชาชีพในการออกแบบ ควบคุม หรือทำการก่อสร้าง ซ่อมแซมหรือรื้อถอนอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ หรือวิธีการอันพึงกระทำการนั้นๆ โดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่น เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย” อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 227 , 238 นายเปรมชัย นั่งวีลแชร์ มีพยาบาลส่วนตัวประกบ เดินทางมาที่ สน.บางซื่อ พร้อมทนายความและญาติ เพื่อเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้บริหารบริษัทกิจการร่วมค้า รวมถึงกลุ่มวิศวกร อีก 13 […]