กรุงเทพฯ 10 ก.ย.-โฆษกรัฐบาล แจง โมเดลประเทศไทย 4.0 ไม่ทิ้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรม เน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม ตั้งเป้าพัฒนา ภายใน 3-5 ปี
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ผ่านมาแบบ 1.0 เน้นภาคการเกษตร ผลิตและขายพืชไร่ พืชสวน เนื้อสัตว์ จนเข้าสู่ 2.0 ที่เน้นภาคอุตสาหกรรมเบา เช่น ขายรองเท้า กระเป๋า เครื่องนุ่งห่ม และก้าวเข้าสู่โมเดลปัจจุบัน คือ ประเทศไทย 3.0 ที่เน้นอุตสาหกรรมหนักและการส่งออก ผลิตและขาย เช่น ส่งออกเหล็กกล้า รถยนต์ กลั่นน้ำมัน ปูนซีเมนต์ ซึ่งโครงสร้างเศรษฐกิจที่ใช้เทคโนโลยีไม่ซ้ำซ้อน ฉุดรั้งให้ประเทศติดกับดักรายได้ปานกลางมาหลายสิบปีแล้ว รัฐบาลจึงต้องการเปลี่ยนให้เป็นประเทศไทย 4.0 ที่เน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม เปลี่ยนจากการผลิตสินค้าที่มีเหมือนกันทั่วโลก ให้เป็นสินค้าเชิงนวัตกรรม เปลี่ยนภาคอุตสาหกรรมธรรมดาให้ใช้เทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม เน้นการบริการ แทนที่จะเน้นการผลิตสินค้า
“นายกรัฐมนตรี ต้องการให้ประชาชนเข้าใจว่าเมื่อมีนโยบายประเทศไทย 4.0 แต่รัฐบาลก็ไม่ได้ละเลยภาคการเกษตรหรือภาคอุตสาหกรรม โดยทั้งหมดจะต้องสนับสนุนเกื้อกูลกัน นายกรัฐมนตรีเน้นว่าเราจะต้องเปลี่ยนการเกษตรแบบดั้งเดิม ให้เป็นเกษตรสมัยใหม่ ที่เน้นการจัดการและเทคโนโลยี เช่น เปลี่ยนข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ให้เป็นอาหารสุขภาพหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีมูลค่าสูง เปลี่ยนจาก SMEs ที่รอความช่วยเหลือจากรัฐ เป็น Smart SMEs หรือบริษัทเกิดใหม่ (Startup) ที่ขายสินค้าไอเดียใหม่ ๆ เช่น หุ่นยนต์การแพทย์รองรับสังคมผู้สูงอายุ และเปลี่ยนการบริการธรรมดาให้มีมูลค่าสูงขึ้น เช่น ให้บริการครบวงจรทั้งคำปรึกษา บริหารจัดการ และบริการหลังการขาย และเปลี่ยนแรงงานธรรมดาให้มีความรู้และความเชี่ยวชาญสูง” พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า รัฐบาลได้เริ่มต้นขับเคลื่อนงานเพื่อก้าวสู่ประเทศไทย 4.0 อย่างเป็นรูปธรรมแล้วหลายด้าน เช่น โครงการ Smart Farmer การจัดตั้งเมืองนวัตกรรมอาหาร การส่งเสริม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต การส่งเสริม Startup และ SMEs โดยการให้ทุนและยกเว้นภาษี การแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค และการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ฯลฯ โดยตั้งเป้าเข้าสู่ยุค 4.0 ให้ได้ภายใน 3-5 ปีนี้ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ใช้กลไกประชารัฐ ดึงทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน ภาคการเงิน ธนาคาร มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และประชาสังคม เข้ามาร่วมกันทำงานตามความถนัด และมีภาครัฐคอยสนับสนุน เพื่อให้เกิดพลังและความสำเร็จอย่างรวดเร็ว.-สำนักข่าวไทย