ราชบุรี 29 ต.ค.-อุบัติเหตุรถไฟชนรถเก๋งที่จุดตัดทางข้ามรถไฟหน้าโรงเรียนเทศบาล 3 ประชายินดี จ.ราชบุรี เสียชีวิต 2 เจ็บสาหัส 1 เจ็บเล็กน้อย 2 คน คาดไม่ได้ยินเสียงหวูดรถไฟ
พ.ต.อ.ศักดิ์ชัย อินทรปรีชา ผู้กำกับการ สภ.บ้านโป่ง นายประยงค์ จันทเต็ง นายอำเภอบ้านโป่ง ร.ต.อ.สุรชัย บุญอินทร์ รองสารวัตรสอบสวน สภ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี พร้อมด้วยแพทย์เวรโรงพยาบาลบ้านโป่ง และมูลนิธิรวมใจการกุศลราชบุรี เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุหลังรับแจ้งว่ามีเหตุรถไฟชนรถยนต์เก๋งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย บริเวณจุดตัดทางข้ามรถไฟหน้าโรงเรียนเทศบาล 3 ประชายินดี หมู่ 2 ต.ปากแรต อ.บ้านโป่ง
ที่เกิดเหตุพบรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ นิสสัน สีขาว ทะเบียน 6 กม 7118 กรุงเทพมหานคร ถูกรถไฟขบวนที่ 726 ท่าม่วง – บางซื่อ บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์เปล่า พุ่งชนบริเวณจุดตัดข้ามทางรถไฟไม่มีเครื่องกั้น ลากกระเด็นไปไกลเกือบ 30 เมตร ทำให้รถยนต์เก๋งตกกระเด็นลงไปอยู่ข้างทางริมทางรถไฟ สภาพหน้ารถกระจกแตกพังกระจัดกระจาย ด้านข้างคนนั่งฝั่งซ้ายมีรอยเฉี่ยวชนยุบทั้งแถบสภาพพังยับเยิน
ตรวจสอบภายในรถพบร่าง น.ส.มลฤดี อินทร์จ่าง อายุ 24 ปี เสียชีวิตคาเบาะนั่งข้างคนขับ เจ้าหน้าที่ต้องใช้เครื่องตัดถ่างนำร่างออกมา ส่วนภายนอกรถพบร่าง น.ส.วรางคณา เสลาคูณ อายุ 40 ปี กระเด็นออกมาอาการสาหัสถูกนำตัวส่ง รพ.บ้านโป่งแล้ว เสียชีวิตในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บ 3 ราย ทราบชื่อ นายนภัทร ชนินทร์รณรงค์ อายุ 24 ปี คนขับบาดเจ็บเล็กน้อย นายธนากร แซ่อึ้ง อายุ 25 ปี บาดเจ็บขาขวา และ ด.ช.นรินทร์ ชนินทร์รณรงค์ อายุ 3 ขวบ ลูกชายคนขับอาการสาหัส ทั้งหมดถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลบ้านโป่ง
จากการสอบสวนทราบว่าก่อนเกิดเหตุ นายนภัทร ขับรถพาภรรยา พร้อมลูกชาย และญาติอีก 2 คน มาจากพัทยากลับมาเยี่ยมบ้านที่ อ.บ้านโป่ง เมื่อขับรถยนต์เก๋งมาถึงจุดเกิดเหตุเป็นจุดตัดทางข้ามรถไฟไม่มีเครื่องกั้น ขณะกำลังขับรถข้ามไม่ทันได้ยินเสียงหวูดรถไฟ เมื่อเห็นรถไฟมากระชั้นชิดเกิดตกใจหยุดรถอยู่กลางราง ก่อนถูกชนลากกระเด็นไปไกลเกือบ 30 เมตร น.ส.มนฤดี ภรรยานั่งเบาะหน้าเสียชีวิตคาที่ ส่วน ด.ช.นรินทร์ ลูกชายนั่งกับภรรยาที่เบาะหน้าบาดเจ็บสาหัส ด้าน น.ส.วรางคณา ป้านั่งด้านหลังกระเด็นออกนอกตัวรถเสียชีวิต นายธนากร ญาตินั่งเบาะหลังเจ็บขาขวา รวมทั้งหมดมากับรถยนต์เก๋ง 5 ราย เสียชีวิต 2 ราย สาหัส 1 ราย และบาดเจ็บเล็กน้อย 2 ราย เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ ตรวจสอบหลักฐานเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป.-สำนักข่าวไทย