กรุงเทพฯ 12 ต.ค.-แผนพีดีพี ใหม่ คาดการผลิตไฟฟ้าแบบใช้เอง (IPS) จะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปัจจุบันทะลุ 8,000 MW สิ้นปี 80 ในขณะที่ พีกไฟฟ้าจะอยู่ที่ 61,965 MW ด้านผลดำเนินงานงบรวมไตรมาส 3/61 อาจถูกกระทบจากการโอนทรัพย์สิน PTTOR
นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า การจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาว (PDP) ฉบับใหม่ หรือ PDP2018 ที่จะสิ้นสุดในปี 2580 คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปลายปีนี้ เบื้องต้นประมาณการความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak) 61,965 เมกะวัตต์ (MW) จากปี 60 ที่อยู่ระดับ 34,102 เมกะวัตต์ ในส่วนนี้จะรวมความต้องการใช้ไฟฟ้าจากในส่วนของกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าแบบผลิตเองใช้เอง (Isolated Power Supply :IPS) และกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก ที่ขายไฟฟ้าตรงโดยไม่ผ่านระบบ (SPP direct) ซึ่งในปี 2560 อยู่ที่ระดับ 3,800 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะเพิ่มเป็นราว 8,000 เมกะวัตต์ ในปี 2580
ทั้งนี้ ตามแผนการจัดหากำลังผลิตไฟฟ้าจะมีรูปแบบผสมผสาน โดยยังคงต้องมีกำลังผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงหลัก ซึ่งจะมาจากกำลังการผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการผลิตไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) รวมถึงจะมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด (renewable) ราว 30% ในระดับเดิม รวมถึงการจัดทำแผนจะแยกเป็นรายภาค เพื่อให้เกิดการลงทุนและเพิ่มความมั่นคงเป็นรายภาค ตลอดจนจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
“โอกาสการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ของ กฟผ.อาจจะยังสามารถดำเนินการได้ในพื้นที่การดูแลของเขตนครหลวง ซึ่งปัจจุบันกำลังการผลิตไฟฟ้ายังไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ที่ยังคงเติบโตต่อเนื่องตามเศรษฐกิจ ขณะที่ กฟผ.มีพื้นที่ในการผลิตไฟฟ้าได้เพิ่ม และยังมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับการขยายงานได้” นายศิริ กล่าว
แหล่งข่าวจาก บมจ.ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงบรวมในไตรมาส 3/61 อาจถูกกระทบจากการบันทึกค่าใช้จ่ายภาษีจากกำไรการโอนทรัพย์สินธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกให้กับ บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (PTTOR) เมื่อต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา แม้จะรับรู้กำไรพิเศษจากการโอนทรัพย์สินดังกล่าวด้วย แต่จะไม่ถูกนำมาบันทึกในงบการเงินสำหรับงบรวม เพราะถือว่าเป็นการทำรายการระหว่างกัน ในกลุ่ม แต่ในส่วนงบเดี่ยวจะบันทึกทั้งในส่วนของกำไรจากการโอนทรัพย์สินและค่าใช้จ่ายภาษีจากกำไรดังกล่าวด้วย
ด้าน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ถึงประเด็นการบันทึกภาษีจากกำไรการโอนทรัพย์สินให้ PTTOR ว่า กำไรจากการขายสินทรัพย์ที่เกิดจากส่วนต่างมูลค่าตามบัญชีกับมูลค่ายุติธรรมจะบันทึกในงบเฉพาะของ PTT เท่านั้น ไม่มีการบันทึกกำไรจากการขายในงบการเงินรวมของ PTT เนื่องจากกำไรที่เกิดขึ้นเป็นรายการระหว่างกันภายในกลุ่ม โดยกำไรที่เกิดขึ้นต้องเสียภาษีนิติบุคคล 20% ซึ่งจะบันทึกอยู่ในงบการเงินรวมของ PTT ซึ่งคาดว่าจะอยู่ระดับ 1.0-1.4 หมื่นล้านบาท หรือ 0.36-0.50 บาท/หุ้น แต่ภาษีจะถูกหักล้างด้วยภาษีเงินได้รอตัดบัญชีบางส่วน (deferred tax asset) ในงบของ PTTOR ซึ่งจะถูกทยอยตัดชำระในแต่ละปี ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาส 3/61 ของ PTT ถูกกดดันจากรายการภาษีพิเศษนี้ เกิด Sentiment เชิงลบ แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อประมาณการกำไร. – สำนักข่าวไทย