อภิสิทธิ์รับวิธีหยั่งเสียงเสี่ยงหลุดเก้าอี้หน.ปชป.

พรรคประชาธิปัตย์ 9 ต.ค.-อดีต ส.ส.กทม.ตบเท้าเชียร์อภิสิทธิ์สู้ศึกชิงหัวหน้าพรรค เจ้าตัวยอมรับวิธีหยั่งเสียงเสี่ยงหลุดเก้าอี้ ย้ำไม่เกรงใจใคร สลัดจุดอ่อน นำประเทศหลุดพ้นหล่มเผด็จการ-ทุจริต เป็นพรรคหลักของประเทศ   


กลุ่มอดีต ส.ส.กรุงเทพมหานคร (กทม.) นำโดยนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เข้าให้กำลังใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่กำลังลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้ง พร้อมประกาศสนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรค โดยเป็นที่น่าสังเกตว่ามีอดีต ส.ส.ที่ลงนามรับรองนายอลงกรณ์ พลบุตร ให้ลงสมัครหัวหน้าพรรคมาร่วมด้วยคือนายกรณ์ จาติกวนิช และ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก 


นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงคำขวัญที่โพสต์ผ่าน line  และเฟซบุ๊กข้อความว่า Make My Mark  ว่าเป็นข้อความของคนรุ่นใหม่ที่จะมาร่วมงานกับพรรคสนับสนุนแนวคิดนี้ และจัดทำเป็นคลิปวิดีโอ ซึ่งมีหลายความหมายและไม่เกี่ยวกับชื่อตนคือการมีโอกาสแสดงออก มีส่วนร่วมให้เกิดความเปลี่ยนแปลง หมายถึงการสนับสนุนตนทำหน้าที่ คือการมีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ที่คนในประเทศรอคอยทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง 

“ส่วนถ้าเล่นคำว่า Mark เป็นชื่อผม เป็นการสื่อสารว่ากระบวนการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้ เป็นการสร้างหัวหน้าพรรคด้วยมือของตัวเอง เป็นการสร้างหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สร้างพรรคประชาธิปัตย์และสร้างใหม่ประเทศไทย ซึ่งการเปิดกระบวนการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคเป็นการยกระดับพรรคการเมืองไทย และทำให้เกิดความชัดเจนเรื่องจุดยืนของพรรค ซึ่งผมอาสานำพรรคในสถานการณ์ที่ประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยให้หลุดพ้นจากปัญหาการไม่เป็นประชาธิปไตยและการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งการแข่งขันภายในพรรคเป็นกระบวนการที่คนภายนอกสนใจว่าเป็นมิติใหม่ของพรรคการเมือง ทำให้หลายคนสนใจอยากมีส่วนร่วม ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง” นายอภภิสิทธิ์ กล่าว 

ส่วนที่มองว่ามีความขัดแย้งในพรรค นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดา แต่เชื่อว่าประชาชนมองว่าเป็นกระบวนการทางประชาธิปไตย ซึ่งต่อไปสังคมจะตั้งคำถามกับพรรคการเมืองอื่นว่าเหตุใดไม่ใช้วิธีเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ และยอมรับว่าการเปิดกว้างการหยั่งเสียงมีความเสี่ยงสำหรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคของตนในอนาคต แต่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะถือว่าเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลง สร้างระบบจะกลัวความเสี่ยงไม่ได้ เพราะถ้ากลัวจะสร้างอะไรใหม่ ๆ ไม่ได้เลย 


นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนที่พูดที่จังหวัดสงขลาว่าอายุ 54 ปีแล้วไม่เกรงใจใครแล้ว หมายความตามที่พูด เพราะตลอดการทำงานการเมือง 26 ปีที่ผ่านมา ก่อนจะทำอะไรต้องมีความระมัดระวัง แต่ตนมาทำการเมืองด้วยความเชื่อและอุดมการณ์ พร้อมกับความฝันว่าอยากได้ประเทศไทยอย่างไร การก้าวหน้าทางการเมือง ที่ผ่านมาเคยได้รับโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีแต่ยังมีหลายเรื่องที่ยังทำไม่ได้ เพราะเป็นนายกรัฐมนตรีพร้อมกับวิกฤติเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์บ้านเมืองปั่นป่วน ซึ่งสามารถกอบกู้วิกฤติและเริ่มต้นบางอย่างได้ แต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้สร้าง

“ผมรู้ว่าอายุขนาดนี้แล้วการจะสร้างฝันให้กับประเทศที่เป็นจริงไม่มีเวลามากแล้ว จึงต้องทำ ไม่มีอะไรที่ต้องลังเลใจหรือเกรงใจใครอีกต่อไป เพราะนี่คือโอกาสใหม่ และโอกาสเดียวที่จะทำให้ผมผลักดันความฝันให้เป็นจริงได้ ตลอด 26 ปีทางการเมืองผมได้ทบทวนทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง เรื่องความเกรงใจก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากกการทบทวนตัวเอง และตั้งใจที่จะทำให้บ้านเมืองหลุดพ้นจากปัญหาตรงนี้ให้ได้ ถ้าไม่ทำครั้งนี้มีโอกาสสูงมากที่ประเทศจะติดหล่มไปอีกนาน ทั้งหล่มเผด็จการและหล่มทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นจุดแข็งของตัวเองคือแม้จะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่ประวัติของผมยืนยันได้ว่าไม่เคยมีเรื่องผลประโยชน์ตัวเอง มีแต่ผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศ และเป็นความเชื่อจากใจที่สุจริตของผมในการทุ่มเท ทำให้มีความพร้อมที่จะนำพาบ้านเมืองออกจากปัญหา” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ส่วนที่มีการวิเคราะห์ว่าการเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้ไม่เพียงการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคล แต่เป็นเรื่องอุดมการณ์พรรคที่เปลี่ยนไปด้วย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องถามผู้สมัครหัวหน้าพรรคคนอื่นว่ามีแนวคิดเกี่ยวกับแนวทางการเมืองของพรรคอย่างไร แต่ตนชัดเจนว่าอุดมการณ์ของพรรคที่ผู้ก่อตั้งประกาศไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2489 เราจะปฏิบัติอย่างจริงจัง ซึ่งเคยบอกแล้วว่าหลังการเลือกตั้ง ไม่ควรมาถามพรรคประชาธิปัตย์จะร่วมกับใครตั้งรัฐบาล แต่ควรถามคนอื่นว่าจะร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์สร้างบ้านเมืองหรือไม่ เพราะเรามีแนวทางที่ชัดเจนและแตกต่างจากทั้งคณะรักษาความสงบแห่งชชาติ(คสช.) และพรรคเพื่อไทย 

“เราจะเป็นทางหลักของประเทศไทย ไม่ใช่ไปช่วยหรือไปร่วมกับใครเป็นรัฐบาล โดยไม่สามารถตอบคำถามว่าไปร่วมรัฐบาลแล้วจะทำอะไร เพราะไม่เป็นประโยชน์กับพรรคและประเทศ แต่พรรคจะเป็นตัวของตัวเอง ไม่เป็นอะไหล่ทางการเมืองให้ใครทั้งสิ้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคอะไหล่ แต่เป็นพรรคการเมืองหลัก มีความตรงไปตรงมา มีความก้าวหน้าในระบบพรรคการเมืองมากกว่าพรรคอื่น ส่วนจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ ประชาชนจะเป็นผู้ให้คำตอบหลังการเลือกตั้ง” นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า 

นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทยตั้งพรรคสาขาเป็นนอมินีทางการเมืองว่า เป็นเรื่องของแต่ละพรรค แต่พรรคประชาธิปัตย์จะทำการเมืองอย่างตรงไปตรงมา ไม่คิดเรื่องระบบแตกสาขาเพราะต้องตรงไปตรงมากับประชาชน เปิดเผย โปร่งใส นี่คือทางเลือกที่เราเสนอให้ประชาชน  ไม่ว่าใครจะออกแบบระบบอย่างไร ใครจะใช้เล่ห์กลเพื่อหลีกเลี่ยงระบบอย่างไร ประชาชนจะเป็นคนชี้ว่าจะให้พรรคการเมืองใดเป็นพรรคขนาดใหญ่ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าทุกเสียงมีความหมาย แต่กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเป็นผู้รักษากฎหมายต้องไปดูเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าการมีพรรคนอมินีผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะในกฎหมายมีเจตนารมณ์ค่อนข้างชัดว่าห้ามพรรคการเมืองฮั้วกัน.-สำนักข่าวไทย  

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

“ขัตติยา” ชี้ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก.

กทม. 10 ส.ค.-“ขัตติยา” สส.เพื่อไทย ชี้โพลฯ ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพสูง แต่ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ X ถึงผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ให้ความไว้วางใจกองทัพสูงกว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากชวนมองภาพให้ครบว่า ทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ล้วนทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน ภายใต้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรวมเอาหลายภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งกระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ทุกฝ่าย คือทีมไทยแลนด์ ที่แบ่งบทบาทหน้าที่และประสานงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาอธิปไตยของประเทศ และปกป้องความปลอดภัยของชีวิตประชาชน แม้กองทัพจะมีบทบาทสำคัญเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแยกเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากภาคส่วนอื่นๆ หากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกหน่วยงานภายใต้ร่มของ ศบ.ทก. ในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้เพียงลำพัง ความสำเร็จต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน.-314.-สำนักข่าวไทย

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

เตือนทั่วไทยฝนตกต่อเนื่อง ‘ตะวันออก’ หนักสุด

กทม. 12 ส.ค.- กรมอุตุฯ เผยทั่วไทยฝนตกต่อเนื่อง เตือนภาคตะวันออกรับมือฝนถล่ม อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย เนื่องจากมีร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ ประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1 – 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น “โพดุล” (PODUL) บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก คาดว่าจะเคลื่อนผ่านเกาะไต้หวัน และเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณด้านตะวันออกของประเทศจีนในช่วงวันที่ 13 – 14 ส.ค. โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย – สำนักข่าวไทย

เสียงสะท้อนจากวีรบุรุษแนวหน้าถึงแนวหลัง

11 ส.ค. – แม้สถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชาเหมือนจะดีขึ้น แต่ยังวางใจไม่ได้ เช่นข่าวทหารไทยเหยียบกับระเบิดบาดเจ็บอีก 3 นาย วันนี้จะพาไปดูความพร้อมของหน่วยแพทย์ในการดูแลทหารของชาติในฐานะวีรบุรุษ พร้อมข้อคิดจากจ่าสิบเอกพิชิตชัย บุญชูกล้า หรือจ่าเต้ 1 ในวีรบุรุษ ฝากถึงแนวหลัง.-สำนักข่าวไทย

“ภูมิธรรม” เล็งปิด​ ศบ.ทก. หลังถก​ สมช.​ เคาะสถานการณ์สงบจริง

เมืองทองธานี 11 ส.ค.- “ภูมิธรรม” ลั่น​ ก็จบ!! ​ หลัง “กองทัพ” ยืนยันแล้ว “แม่ทัพภาค 2” ไม่ได้พูดยึดปราสาทตาควาย ย้ำยังไม่มีอะไรผิดสัญญา เล็งปิด​ ศบ.ทก. หลังประชุม​ สมช.​ 13-14 ส.ค.นี้​ เคาะสถานการณ์สงบจริง​ นายภูมิธรรม​ เวชยชัย​ รอง​นายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​มหาดไทย​ รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี​ กล่าวถึงกรณีพลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2​ ออกมา ประกาศยึดคืนปราสาทตาควาย จะถือเป็นการละเมิดข้อตกลงไทย-กัมพูชาหรือไม่ ว่า​ ยังไม่ได้ยินแม่ทัพภาคที่ 2 พูด​ แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อตกลง​ เมื่อถามว่าแม้กองทัพ จะออกมาปฏิเสธแล้ว​ แต่ทางกัมพูชา​อาจมองเป็นการกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้ง และละเมิดข้อตกลง 13 ข้อ นายภูมิ​ธรรม​ กล่าวว่า​ ยังไม่มีอะไรผิดสัญญา กองทัพซึ่งเป็นตัวหลักได้ยืนยันแล้ว​ ก็จบตามนั้น​ เมื่อถามว่า​ สถานการณ์ชายแดน 2-3 วันที่ผ่านมา​ ถือว่าสงบนิ่งหรือไม่​ เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าเหตุการณ์ความไม่สงบจะกลับมา​อีก […]

ทบ.ยัน ‘มทภ.2’ ไม่ได้กล่าวรุกล้ำอธิปไตยปมปราสาทตาควาย

11 ส.ค.- โฆษกกองทัพบกโต้กัมพูชา ยันแม่ทัพภาค 2 ไม่ได้กล่าวรุกล้ำอธิปไตยปมปราสาทตาควาย ย้ำไทยไม่มีความพยายาม “ยั่วยุ-วางแผน” ใช้กำลังทางทหารตามที่เขมรกล่าวอ้าง พลตรี​ วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงกรณีกระทรวงกลาโหมกัมพูชาแถลงการณ์ถึงคำสัมภาษณ์ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เรื่องของปราสาทตาควาย ว่า “ยืนยันว่าเนื้อหาที่แม่ทัพภาคที่ 2 พูด ไม่ได้มีความหมายในแบบที่โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้แถลงไป โดยเฉพาะท่านไม่พูดเรื่องการเคลื่อนย้ายกำลัง เพื่อรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชา สิ่งที่ท่านได้กล่าวในวันนั้นคือ ปราสาทตาควายอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย ในช่วงที่มีการปะทะที่ผ่านมาพยายามเข้าไปยึดด้วยการวางกำลัง แต่ยังไม่สำเร็จ จึงได้ทำการวางกำลังบริเวณด้านนอก ห่างจากตัวปราสาท 30 เมตร แต่ในอนาคตจะต้องพยายามนำกลับมาภายใต้การควบคุมของไทยให้ได้ ตามขั้นตอนที่เหมาะสม พร้อมกล่าวว่าเตรียมนำเรื่องต่างๆ ไปพูดคุยเจรจาในวงเจรจาในกรอบการประชุม RBC ที่จะเกิดขึ้นใน 2 สัปดาห์ และย้ำถึงจุดยืนว่าไทยจะไม่ถอยจากแนวการวางกำลังเดิม ขอยืนยันว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ได้พูดถึงเรื่องการใช้กำลังทางทหาร ไปดำเนินการอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นที่กล่าวไปในข้างต้น จึงไม่ใช่ความพยายามที่มีการยั่วยุและมีการวางแผนใช้กำลังทางทหารต่อกรณีปราสาทตาควายอย่างที่กัมพูชากล่าวอ้างแต่อย่างใด” -สำนักข่าวไทย