พรรคประชาธิปัตย์ 9 ต.ค.-อดีต ส.ส.กทม.ตบเท้าเชียร์อภิสิทธิ์สู้ศึกชิงหัวหน้าพรรค เจ้าตัวยอมรับวิธีหยั่งเสียงเสี่ยงหลุดเก้าอี้ ย้ำไม่เกรงใจใคร สลัดจุดอ่อน นำประเทศหลุดพ้นหล่มเผด็จการ-ทุจริต เป็นพรรคหลักของประเทศ
กลุ่มอดีต ส.ส.กรุงเทพมหานคร (กทม.) นำโดยนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เข้าให้กำลังใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่กำลังลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้ง พร้อมประกาศสนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรค โดยเป็นที่น่าสังเกตว่ามีอดีต ส.ส.ที่ลงนามรับรองนายอลงกรณ์ พลบุตร ให้ลงสมัครหัวหน้าพรรคมาร่วมด้วยคือนายกรณ์ จาติกวนิช และ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงคำขวัญที่โพสต์ผ่าน line และเฟซบุ๊กข้อความว่า Make My Mark ว่าเป็นข้อความของคนรุ่นใหม่ที่จะมาร่วมงานกับพรรคสนับสนุนแนวคิดนี้ และจัดทำเป็นคลิปวิดีโอ ซึ่งมีหลายความหมายและไม่เกี่ยวกับชื่อตนคือการมีโอกาสแสดงออก มีส่วนร่วมให้เกิดความเปลี่ยนแปลง หมายถึงการสนับสนุนตนทำหน้าที่ คือการมีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ที่คนในประเทศรอคอยทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง
“ส่วนถ้าเล่นคำว่า Mark เป็นชื่อผม เป็นการสื่อสารว่ากระบวนการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้ เป็นการสร้างหัวหน้าพรรคด้วยมือของตัวเอง เป็นการสร้างหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สร้างพรรคประชาธิปัตย์และสร้างใหม่ประเทศไทย ซึ่งการเปิดกระบวนการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคเป็นการยกระดับพรรคการเมืองไทย และทำให้เกิดความชัดเจนเรื่องจุดยืนของพรรค ซึ่งผมอาสานำพรรคในสถานการณ์ที่ประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยให้หลุดพ้นจากปัญหาการไม่เป็นประชาธิปไตยและการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งการแข่งขันภายในพรรคเป็นกระบวนการที่คนภายนอกสนใจว่าเป็นมิติใหม่ของพรรคการเมือง ทำให้หลายคนสนใจอยากมีส่วนร่วม ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง” นายอภภิสิทธิ์ กล่าว
ส่วนที่มองว่ามีความขัดแย้งในพรรค นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดา แต่เชื่อว่าประชาชนมองว่าเป็นกระบวนการทางประชาธิปไตย ซึ่งต่อไปสังคมจะตั้งคำถามกับพรรคการเมืองอื่นว่าเหตุใดไม่ใช้วิธีเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ และยอมรับว่าการเปิดกว้างการหยั่งเสียงมีความเสี่ยงสำหรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคของตนในอนาคต แต่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะถือว่าเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลง สร้างระบบจะกลัวความเสี่ยงไม่ได้ เพราะถ้ากลัวจะสร้างอะไรใหม่ ๆ ไม่ได้เลย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนที่พูดที่จังหวัดสงขลาว่าอายุ 54 ปีแล้วไม่เกรงใจใครแล้ว หมายความตามที่พูด เพราะตลอดการทำงานการเมือง 26 ปีที่ผ่านมา ก่อนจะทำอะไรต้องมีความระมัดระวัง แต่ตนมาทำการเมืองด้วยความเชื่อและอุดมการณ์ พร้อมกับความฝันว่าอยากได้ประเทศไทยอย่างไร การก้าวหน้าทางการเมือง ที่ผ่านมาเคยได้รับโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีแต่ยังมีหลายเรื่องที่ยังทำไม่ได้ เพราะเป็นนายกรัฐมนตรีพร้อมกับวิกฤติเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์บ้านเมืองปั่นป่วน ซึ่งสามารถกอบกู้วิกฤติและเริ่มต้นบางอย่างได้ แต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้สร้าง
“ผมรู้ว่าอายุขนาดนี้แล้วการจะสร้างฝันให้กับประเทศที่เป็นจริงไม่มีเวลามากแล้ว จึงต้องทำ ไม่มีอะไรที่ต้องลังเลใจหรือเกรงใจใครอีกต่อไป เพราะนี่คือโอกาสใหม่ และโอกาสเดียวที่จะทำให้ผมผลักดันความฝันให้เป็นจริงได้ ตลอด 26 ปีทางการเมืองผมได้ทบทวนทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง เรื่องความเกรงใจก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากกการทบทวนตัวเอง และตั้งใจที่จะทำให้บ้านเมืองหลุดพ้นจากปัญหาตรงนี้ให้ได้ ถ้าไม่ทำครั้งนี้มีโอกาสสูงมากที่ประเทศจะติดหล่มไปอีกนาน ทั้งหล่มเผด็จการและหล่มทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นจุดแข็งของตัวเองคือแม้จะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่ประวัติของผมยืนยันได้ว่าไม่เคยมีเรื่องผลประโยชน์ตัวเอง มีแต่ผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศ และเป็นความเชื่อจากใจที่สุจริตของผมในการทุ่มเท ทำให้มีความพร้อมที่จะนำพาบ้านเมืองออกจากปัญหา” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ส่วนที่มีการวิเคราะห์ว่าการเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้ไม่เพียงการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคล แต่เป็นเรื่องอุดมการณ์พรรคที่เปลี่ยนไปด้วย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องถามผู้สมัครหัวหน้าพรรคคนอื่นว่ามีแนวคิดเกี่ยวกับแนวทางการเมืองของพรรคอย่างไร แต่ตนชัดเจนว่าอุดมการณ์ของพรรคที่ผู้ก่อตั้งประกาศไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2489 เราจะปฏิบัติอย่างจริงจัง ซึ่งเคยบอกแล้วว่าหลังการเลือกตั้ง ไม่ควรมาถามพรรคประชาธิปัตย์จะร่วมกับใครตั้งรัฐบาล แต่ควรถามคนอื่นว่าจะร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์สร้างบ้านเมืองหรือไม่ เพราะเรามีแนวทางที่ชัดเจนและแตกต่างจากทั้งคณะรักษาความสงบแห่งชชาติ(คสช.) และพรรคเพื่อไทย
“เราจะเป็นทางหลักของประเทศไทย ไม่ใช่ไปช่วยหรือไปร่วมกับใครเป็นรัฐบาล โดยไม่สามารถตอบคำถามว่าไปร่วมรัฐบาลแล้วจะทำอะไร เพราะไม่เป็นประโยชน์กับพรรคและประเทศ แต่พรรคจะเป็นตัวของตัวเอง ไม่เป็นอะไหล่ทางการเมืองให้ใครทั้งสิ้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคอะไหล่ แต่เป็นพรรคการเมืองหลัก มีความตรงไปตรงมา มีความก้าวหน้าในระบบพรรคการเมืองมากกว่าพรรคอื่น ส่วนจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ ประชาชนจะเป็นผู้ให้คำตอบหลังการเลือกตั้ง” นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทยตั้งพรรคสาขาเป็นนอมินีทางการเมืองว่า เป็นเรื่องของแต่ละพรรค แต่พรรคประชาธิปัตย์จะทำการเมืองอย่างตรงไปตรงมา ไม่คิดเรื่องระบบแตกสาขาเพราะต้องตรงไปตรงมากับประชาชน เปิดเผย โปร่งใส นี่คือทางเลือกที่เราเสนอให้ประชาชน ไม่ว่าใครจะออกแบบระบบอย่างไร ใครจะใช้เล่ห์กลเพื่อหลีกเลี่ยงระบบอย่างไร ประชาชนจะเป็นคนชี้ว่าจะให้พรรคการเมืองใดเป็นพรรคขนาดใหญ่ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าทุกเสียงมีความหมาย แต่กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเป็นผู้รักษากฎหมายต้องไปดูเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าการมีพรรคนอมินีผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะในกฎหมายมีเจตนารมณ์ค่อนข้างชัดว่าห้ามพรรคการเมืองฮั้วกัน.-สำนักข่าวไทย
