กรุงเทพฯ 15 ก.ย. – ปั๊มแอลพีจีหลายแห่งทยอยเสนอขาย หลังยอดขายดิ่ง เพราะราคาน้ำมันและการลอยตัวราคา ด้านสยามแก๊ส (เอสพีจี) ปรับตัวเร่งหาตลาดใหม่ตามแนวตะเข็บชายแดนเพื่อนบ้าน พร้อมทำแผนบุกตลาดใหม่ทั้งโรงไฟฟ้าและแอลพีจีในบังกลาเทศ เตรียมพร้อมนำเข้าด้วยตนเองหากรัฐเปิดเสรีนำเข้า ล่าสุดหารายได้เสริมร่วมมือบางจากฯ ขายน้ำมัน
นางจินตณา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ (SGP) เปิดเผยว่า จากผลกระทบจากยอดใช้ก๊าซแอลพีจีภาคขนส่งลดลงอย่างหนักต่อเนื่อง เพราะราคาน้ำมันที่ลดลง ประกอบกับการลอยตัวราคาแอลพีจี ทำให้ผู้ใช้รถยนต์หันไปเติมราคาน้ำมันทดแทนแอลพีจี ซึ่งขณะนี้มีผู้ค้าแอลพีจีหลายรายเสนอขายปั๊มแอลพีจี แก่บริษัท ซึ่งหากราคาเหมาะสมบริษัทก็สนใจจะรับซื้อ เพราะบริษัทลงทุนระยะยาวในธุรกิจนี้ โดยปัจจุบันบริษัทมีปั๊มที่เป็นของตัวเอง 45 แห่ง และเป็นของร่วมทุนดับดีลเลอร์ 500 แห่ง และไม่มีแผนที่จะขายปั๊มแต่อย่างใด แต่วางแผนจะหาตลาดอื่นทดแทน ยอดขายภาคขนส่งที่ลดลง
ทั้งนี้ ปั๊มแอลพีจีทั่วประเทศมีประมาณ 2,087 แห่ง และ 7 เดือนแรกปีนี้ (มกราคม-กรกฎาคม) ตลาดรวมยอดขายแอลพีจีภาคขนส่งลดลงถึงร้อยละ 16.32 มาอยู่ที่ 4.10 ล้านกิโลกรัมต่อวัน และในส่วนของเอสพีจี ยอดขายภาคขนส่ง 6 เดือนแรกปีนี้ลดลงร้อยละ 17.7 ดังนั้น จึงต้องเร่งหาตลาดทดแทน ทั้งตลาดอุตสาหกรรม ตลาดครัวเรือน รวมทั้งการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านตามตะเข็บชายแดน เช่น เมียนมาร์ กัมพูชา มาเลเซีย และ สปป.ลาว โดยใช้วิธีการนำเข้ามาเพื่อส่งออก (re export) โดยล่าสุดมียอดขาย 3,400 ตัน/เดือน ในจำนวนนี้ยอดขายที่เมียนมาร์เพิ่มขึ้น 3 เท่าตัวมาอยู่ที่ 3,000 ตัน/เดือน และตั้งเป้าจะเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 5,000 ตัน/เดือนภายในสิ้นปี 2559
ขณะเดียวกันได้ร่วมมือกับ บมจ.บางจากฯ ตั้งปั๊มน้ำมันที่ในพื้นที่ ปั๊มแอลพีจีที่มีพื้นที่เพียงพอ โดยขณะนี้ตั้งแล้ว 1 แห่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า ยอดขายดีมาก จากเริ่มแรก 100,000 ตัน/เดือน เป็นไม่ต่ำกว่า 600,000 ตัน/เดือน โดยมีแผนจะขยายเป็น 6 และ 15 แห่งภายในปี 2559 และ 2560 นอกจากนี้ ได้เร่งหาตลาดอุตสาหกรรมและยอดขายกลุ่มครัวเรือนเพื่อเพิ่มยอดขายอีกด้วย
“ตลาดโลกประเมินว่าราคายังคงตกต่ำต่อเนื่องจนถึงปีหน้า โดยเอสพีจีคาดว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยไม่น่าจะเกิน 50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และแอลพีจีจะยังคงราคาตกต่ำต่อไป ยอดใช้ภาคขนส่งก็คงไม่กลับมาเหมือนในอดีต ดังนั้น ต้องปรับตัวหารายได้จากตลาดอื่นทดแทน และเตรียมพร้อมสำหรับการนำเข้าแอลพีจีรองรับนโยบายเปิดสรีของรัฐบาล โดยรอเพียงว่ากระทรวงพลังงานจะกำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนอย่างไร”นางจินตณา กล่าว
นางจินตณา กล่าวด้วยว่า บริษัทยังตั้งเป้าหมายยอดขายปี 2560 ขยายตัวจากปีนี้ร้อยละ 5 ซึ่งมั่นใจว่าปีนี้จะมียอดขายในประเทศประมาณ 1.2 ล้านตัน/ปี และตลาดต่างประเทศ 1.8 ล้านตัน และยังเดินหน้าขยายตลาดในต่างประเทศ ซึ่งล่าสุดเจรจากับทางบังกลาเทศ เพื่อลงทุนทั้งคลังแอลพีจี โรงบรรจุ และท่าเรือ ซึ่งนับว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจ ส่วนการร่วมทุนโรงไฟฟ้าในเมียนมาร์สัดส่วนร้อยละ 30 กำลังผลิตโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ 230 เมกะวัตต์ นั้น ขณะนี้โรงไฟฟ้าในเมาะลำไยก่อสร้างเสร็จผลิตแล้ว กำลังร่วมมือในการลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่ในพื้นที่อื่น ๆ และจะต่อยอดยอดธุรกิจแอลพีจีทั้งการก่อสร้างคลังก๊าซ , ท่าเรือ และโรงบรรจุก๊าซในเมียนมาร์ ซึ่งหากตลาดชัดเจนบริษัทก็จะยืนลงทุนทันที
นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า จากยอดใช้แอลพีจีทุกตลาดในช่วง 7 เดือนแรกปรับตัวลดลงร้อยละ 12.34 มาอยู่ที่ 16.16 ล้านกิโลกรัมต่อวันนั้น ทำให้ไม่จำเป็นต้องนำเข้าแอลพีจี ดังนั้น คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) จึงเห็นชอบยกเลิกแผนประมูลโควตานำเข้าแอลพีจี และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) อยู่ระหว่างหารือว่าจะเปิดเสรีนำเข้าอย่างไร ซึ่งตามแผนเดิมจะเปิดให้เอกชนใช้คลังแอลพีจีนำเข้าของ บมจ.ปตท. ก็ต้องมีการกำหนดราคาให้รายอื่นเข้ามาใช้ ส่วนเปิดเสรีแล้วจะมีการเก็บภาษีแอลพีจีภาคขนส่ง หรือเพิ่มสำรองแอลพีจีจากร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 3 หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ สนพ.จะกำหนดหลักเกณฑ์เสนอ กบง.ต่อไป .-สำนักข่าวไทย