นนทบุรี 12 ก.ย. – พาณิชย์ขอให้กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนวิธีการใช้เงินสดในบัตรสวัสดิการใหม่ หลังพบหักหัวคิว เพราะสมยอมให้คนอื่นกดเงินสดแทน
นายวิชัย โภชนกิจ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวผ่านอินเทอร์เน็ตบางพื้นที่จังหวัดสระแก้ว พบผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ภาครัฐโอนเงินเข้าบัตรเพิ่ม จากเดิม 300 บาท เป็น 500 บาทต่อเดือน แบ่งเป็นการใช้เงินในบัตรสวัสดิการเพื่อซื้อสินค้าในร้านธงฟ้าประชารัฐ 300 บาท และอีก 200 บาทกดเป็นเงินสดออกมาจ่ายได้ แต่ผู้ถือบัตรจะต้องไปเพิ่มและปรับเปลี่ยนตัวเลขในบัตรให้เป็นตัวเลข 6 หลักก่อน เพื่อจะได้กดเงินสดจากทางธนาคารกรุงไทยได้ ทำให้เกิดเหตุการณ์สมยอมของผู้ถือบัตรสวัสดิการในกลุ่มผู้สูงอายุจำนวนมากไม่สะดวกหลาย ๆ ด้านต่อการไปกดบัตรเงินสด 200 บาทตามตู้ของธนาคารกรุงไทย เนื่องจากบางพื้นที่มีการรอคิวกดเงินยาวมาก บางพื้นที่ตู้เอทีเอ็มขัดข้อง และเกิดจากตัวผู้ถือบัตรเปลี่ยนรหัส 6 หลักไม่เป็น หรือบางบัตรมีปัญหาด้านข้อมูล ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมามากมายอย่างที่เป็นข่าวขณะนี้
ทั้งนี้ จากความสับสนในทางปฎิบัติของบัตรสวัสดิการที่อนุมัติเพิ่มขึ้น 200 บาทนั้น จนเกิดกระแสข่าวว่าบางพื้นที่เปิดทางให้กินหัวคิวในบัตร หากผู้สูงอายุต้องการเงินสด 200 บาท อาจจะสมยอมให้คนที่เข้ามาช่วยไปกดเงินให้และเจ้าของบัตรจะให้ค่าเสียเวลาจัดการครั้งละ 20-40 บาท ดีกว่าเดินทางไปกดเองที่จะเสียค่าใช่จ่ายแพงกว่าจากหลายเหตุผลนั้น เรื่องดังกล่าวถือว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระทรวงพาณิชย์โดยตรง เพราะหากเป็นการหักหัวคิวภายในร้านธงฟ้าจะทำไม่ได้เด็ดขาดและถือเป็นการกระทำผิดหลักเกณฑ์ แต่ในกรณีหักหัวคิวเงินสด แม้จะไม่ผิดกฎหมาย แต่ก็ไม่สมควรทำ จึงนำเสนอให้กระทรวงการคลังรับทราบและเร่งดำเนินการแก้ไขแล้ว โดยให้ยกเลิกไม่ควรให้มีรหัส 6 หลักในบัตรเพิ่มเติมและเปิดทางให้เงินสด 200 บาท มารวมใช้ในบัตรเพื่อสามารถให้นำมาซื้อสินค้าในร้านธงฟ้าประชารัฐได้ ดังนั้น เห็นว่าทางกระทรวงการคลังจะเร่งดำเนินการแก้ไขเป็นการด่วนต่อไป
นอกจากนี้ ตามโครงการที่ให้ร้านค้าทั่วประเทศที่สนใจโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐ ที่ไม่ต้องติดตั้งเครื่องรูดบัตร แต่สามารถเข้าร่วมร้านค้าผ่านแอพถุงเงินประชารัฐที่ให้ร้านค้าดาวน์โหลดแอพดังกล่าวยอมรับว่ามีร้านค้าสนใจและเสนอขอเข้าร่วมโครงการนี้นับหมื่นรายแล้ว แต่บางรายระบุเงื่อนไขการเข้าร่วมค่อนข้างรัดกุมมากเกินไปและการใช้งานในแอพก็ยุ่งยาก จึงได้เสนอให้ทางกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนเงื่อนไขให้น้อยลงและเข้าถึงมากขึ้น ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังจะกลับไปดำเนินการกันต่อไป
“ยอมรับว่าร้านที่สมัครใช้แอพพลิเคชั่นยังน้อย เพราะอาจจะติดปัญหาการใช้ระบบ และยังมีความกังวลเรื่องการถูกเรียกเก็บภาษี แต่กระทรวงพาณิชย์ยืนยันว่าจะเป็นประโยชน์กับร้านค้าเอง เนื่องจากรัฐบาลจะมีมาตรการเพิ่มเติมในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือบัตร รวมทั้งยังจะมีฐานผู้ซื้อที่เพิ่มขึ้น จากการเปิดลงทะเบียนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่พลาดการลงทะเบียนรอบแรก คาดว่าจะเพิ่มเป็น 13 ล้านคน จากรอบแรกที่ลงทะเบียนไว้ 11.4 ล้านคน ซึ่งได้มอบให้พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศลงพื้นที่เชิญชวนให้ร้านค้าสมัครเพิ่มขึ้น ตามเป้าหมาย 100,000 ร้านค้า เพื่อให้ครอบคลุมผู้ถือบัตรทั่วประเทศ ขณะที่ภาพรวมมูลค่าการใช้จ่ายบัตรตั้งแต่เริ่มโครงการเดือนตุลาคม 2560 ประมาณ 10 เดือนที่ผ่านมา รวมกว่า 40,000 ล้านบาท“ นายวิชัย กล่าว.-สำนักข่าวไทย