กรุงเทพฯ 22 ส.ค. – โรงงานน้ำตาลคาดผลผลิตอ้อยหีบฤดูการผลิตปี 61/62 จะมีมากพอกับปี 60/61 เร่งจัดการสตอกน้ำตาลในคลังสินค้ารับผลผลิตอ้อยใหม่
นายสิริวุทธิ์ เสียมภักดี รองประธานคณะกรรมการบริหารบริษัท ไทยชูการ์ มิลเลอร์ จำกัด (TSMC) คาดว่า ปริมาณการผลิตอ้อยปี 2561/2562 คาดว่าจะสูงใกล้เคียงกับปีก่อน ดังนั้น ในช่วงที่เหลือของปีนี้โรงงานน้ำตาลทรายจึงบริหารจัดการสตอกน้ำตาลทรายที่จัดเก็บในคลังสินค้าที่ได้จากฤดูการผลิตปี 2560/2561 ที่มีผลิตมากถึง 14.80 ล้านตัน จากอ้อยเข้าหีบ 134.92 ล้านตันอ้อย ส่วนการส่งออกน้ำตาล 6 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค. -มิ.ย.61) ทำได้แล้วกว่า 6.5 ล้านตันน้ำตาล สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้จะส่งออกน้ำตาลทรายเฉลี่ย 1 ล้านตันน้ำตาลต่อเดือน เพื่อบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพและเป็นการเตรียมรองรับ
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ปริมาณผลผลิตน้ำตาลทรายของโลกที่ยังคงอยู่ในระดับสูงเป็นผลให้ราคาเฉลี่ยน้ำตาลทรายในตลาดโลกอยู่ในเกณฑ์ต่ำประมาณ 11-12 เซนต์ต่อปอนด์ และเมื่อนำมาคำนวณเป็นราคาอ้อยขั้นต้นของฤดูการผลิตปี 2561/2562 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 700-750 บาทต่อตันอ้อย ส่งผลกระทบต่อชาวไร่และภาพรวมอุตสาหกรรมระยะยาว ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ภาครัฐควรส่งเสริมให้ผู้ประกอบการโรงงานสร้างมูลค่าเพิ่มโดยนำผลพลอยได้จากกระบวนผลิตไปสร้างมูลค่าเพิ่มอื่นๆ เช่น การนำกากน้ำตาล/น้ำอ้อยไปผลิตเป็นเอทานอล หรือนำอ้อย/ชานอ้อยไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
นอกจากนี้ ภาครัฐควรมีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น ส่งเสริมให้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง E20 หรือ E85 ที่จะช่วยเพิ่มความต้องการใช้เอทานอล เพื่อทดแทนการนำเข้าน้ำมัน หรือลดการใช้ถุงพลาสติกแบบเดิมๆ แล้วหันมาใช้ไบโอพลาสติกที่มีส่วนผสมของวัสดุจากธรรมชาติที่สามารถย่อยสลายได้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดความต้องการใช้สินค้าเพิ่มขึ้น ทำให้เอกชนมองเห็นความคุ้มค่าในการลงทุนพัฒนาสินค้าชีวภาพในประเทศไทยเพิ่มขึ้น
“มองว่าระยะยาวการนำผลผลิตอ้อยมาผลิตน้ำตาลทรายเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ เพราะปีไหนที่มีปริมาณผลผลิตน้ำตาลทรายจำนวนมาก ก็จะกดดันราคาน้ำตาลตลาดโลกตกต่ำ ดังนั้น ภาครัฐควรส่งเสริมให้ภาคเอกชนสามารถลงทุนพัฒนาการนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตไปต่อยอดผลิตภัณฑ์ชีวภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และยังเป็นการบริหารปริมาณการผลิตน้ำตาลให้เหมาะสมกับภาวะตลาดโลก รวมถึงเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนสามารถนำผลผลิตอ้อยไปสร้างมูลค่าเพิ่มจากการผลิตสินค้าตัวอื่น ๆ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่อุตสาหกรรมได้ดีกว่าการนำไปผลิตเป็นน้ำตาลทรายเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ การใช้วัตถุดิบจากอ้อยหรือผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ ในประเทศ เพื่อผลิตเป็นพลังงานทดแทน และสร้างมูลค่า ย่อมส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม แทนที่จะต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันฟอสซิล ซึ่งต้องซื้อและสูญเสียเงินตราต่างประเทศ โดยไม่ก่อให้เกิดการนำเงินมาหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในประเทศแต่อย่างใด” นายสิริวุทธิ์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย