ทำเนียบฯ 15 ส.ค.- รองโฆษกกองทัพบก แถลงความคืบหน้าปัญหาการรุกล้ำลำน้ำสาธารณะ บริเวณคลองลาดพร้าว มีการสร้างเขื่อนและสร้างบ้านมั่นคง คืบหน้าร้อยละ 40 ปัจจุบัน พบผู้ที่ไม่เข้าร่วมโครงการ ร้อยละ 20 ไม่ยอมรื้อย้ายบ้านเดิมออก เป็นอุปสรรค เตรียมพูดคุยสร้างความเข้าใจถึงความตั้งใจและผลสำเร็จของโครงการ
พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก แถลงภายหลังการประชุม คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ว่า ความคืบหน้าปัญหาการรุกล้ำลำน้ำสาธารณะ (คลองลาดพร้าว) ภาพรวมตอนนี้ การก่อสร้างเขื่อนและการสร้างบ้านมั่นคง มีความคืบหน้าประมาณร้อยละ 40 แล้ว แต่ยังพบมีผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการร้อยละ 20 ซึ่งก็เป็นผู้ที่อยู่ในแนวก่อสร้างเขื่อน กับผู้ที่อยู่นอกแนวก่อสร้างเขื่อน
รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ขณะนี้รัฐจะใช้การสร้างความเข้าใจร่วมกับการเจรจาพูดคุยทำความเข้าใจเป็นหลัก เพื่อให้คนที่อยู่ในพื้นที่ได้เห็นถึงความตั้งใจและผลสำเร็จของโครงการ ซึ่งจะใช้เขตสายไหมเป็นพื้นที่ต้นแบบที่เป็นรูปธรรม โดยพื้นที่เขตสายไหมจะมีการก่อสร้างเขื่อนประมาณ 7.37 กิโลเมตร ตอกเสาเข็มประมาณ 7,200 กว่าต้น ซึ่งขณะนี้การก่อสร้างและตอกเสาเข็มดำเนินการไปได้ถึงร้อยละ74 ส่วนเรื่องของการสร้างบ้านมั่นคงดำเนินการไป 134 หลังแล้ว
พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า ส่วนพื้นที่ต้นแบบในเขตสายไหม จะเร่งการพัฒนาการก่อสร้างบ้านนอกพื้นที่เขตแนวก่อสร้างเขื่อนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว หากจะต้องรื้อย้ายก่อนเวลาที่จะกำหนดเพื่อเปิดพื้นที่การก่อสร้างเขื่อน ทางราชการช่วยเหลือของบประมาณในการรื้อย้ายบ้านไปก่อน ส่วนบ้านที่เหลือใช้วิธีการเจรจาร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในเรื่องของการก่อสร้างจะให้ทางบริษัทผู้รับก่อสร้างเขื่อนเร่งนำปั้นจั่น เครื่องมือ เข้าดำเนินการในพื้นที่ ซึ่งจะมีความชัดเจนในการทำงาน โดยสามารถก่อสร้างเขื่อนในเขตสายไหมได้เสร็จในระยะเวลา 3 เดือน จะเป็นโครงการต้นแบบที่ชัดเจนที่สุดในเรื่องของความคืบหน้าในการก่อสร้างเขื่อนคลองลาดพร้าว
“ในเรื่องของการสร้างความมั่นใจให้กับชุมชน คณะทำงานจะลงพื้นที่เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการ โดยมีแผนดำเนินการ 3 ครั้ง ในเขตห้วยขวาง จตุจักร สายไหม ล่าสุดปลายเดือนนี้จะจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ที่เขตห้วยขวาง อีกส่วนหนึ่งที่ได้รับการเสนอในที่ประชุม คือเรื่องการก่อสร้างเขื่อนผ่านที่ดินของเอกชนประมาณ 3 ราย บริเวณคลองชวดใหญ่ ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบที่จะให้ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนตามแนวขอบเขตที่ดินของเอกชน เพื่อที่จะทำให้โครงการดังกล่าวนี้ไม่ชะงัก” พันเอกหญิง ศิริจันทร์ กล่าว
รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าการปรับปรุงภูมิทัศน์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงที่ 1 กับช่วงที่ 3 ซึ่งเป็นพื้นที่เขตนอกเกาะรัตนโกสินทร์ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ได้ชี้แจงความคืบหน้าถึงการหารือระหว่าง กทม. กับ กรมศิลปากร เกี่ยวกับการขออนุญาตและผลกระทบกับโบราณสถาน ซึ่งเดิมการก่อสร้างในโครงการช่วงที่ 1 กับช่วงที่ 3 ซึ่งเป็นพื้นที่นอกเกาะรัตนโกสินทร์ที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 เห็นชอบให้ดำเนินโครงการใน 2 ส่วนนี้ก่อน ที่ผ่านมา กทม. ได้มีหนังสือหารือกับกรมศิลปากร ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายที่ว่าหากจะมีโครงการก่อสร้างใดที่เกี่ยวข้องกับโบราณสถานในพื้นที่ต่างๆ จะต้องให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมพิจารณาผลกระทบด้วย
“ซึ่งทางกรมศิลปากรได้มีข้อพิจารณาให้ในระดับหนึ่ง โดยข้อพิจารณาดังกล่าวได้มีข้อกังวลเรื่องผลกระทบกับโบราณสถานในพื้นที่ก่อสร้าง ในเดือนที่ผ่านมามีการประชุมหารือร่วมกันระหว่าง กทม. กับ กรมศิลปากร ได้ข้อสรุปว่า กรมศิลปากรรับทราบแผนการพัฒนาพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและรูปแบบโครงการ ตามที่ กทม. ได้ชี้แจง โดยเฉพาะเรื่องของขอบเขตโครงการการพัฒนาพื้นที่ริมแม่น้ำทั้งสองฝั่ง ถึงถนนคู่ขนานแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณถนนสามเสนกับถนนจรัญสนิทวงศ์ รวมถึงด้านวัฒนธรรมในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นโบราณสถาน ศาสนสถานหรือชุมชน ส่วนโครงข่ายของคลองโบราณ การสัญจรของชุมชนเดิม กรมศิลปากรก็ได้รับทราบ และจะมีการทบทวนข้อคิดเห็น เพื่อให้การดำเนินโครงการช่วงที่ 1 และ ช่วงที่ 3 สามารถดำเนินการได้ตามแนวทางของคณะกรรมการฯ” พันเอกหญิง ศิริจันทร์กล่าว.-สำนักข่าวไทย