นนทบุรี 14 ส.ค. – พาณิชย์ติดตามสถานการณ์ตุรกี ยันไม่กระทบเป้าหมายส่งออกปีนี้
นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยผลกระทบของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและตุรกี โดยความสัมพันธ์ทางการเมืองของ 2 ประเทศที่ผ่านมาไม่ค่อยราบรื่นนัก เมื่อรวมกับสหรัฐประกาศเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากตุรกีร้อยละ 50 และ 20 ตามลำดับ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นค่าเงินและเศรษฐกิจตุรกี ทำให้ค่าเงินตุรกีลดลงร้อยละ 45.0 เมื่อเทียบกับต้นปี และส่งผลให้ภาระการชำระหนี้ของตุรกีจะเพิ่มขึ้น โดยหนี้ต่างประเทศของภาคเอกชนคิดเป็นร้อยละ 70 ของหนี้ต่างประเทศทั้งหมด หรือมูลค่า 325,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการกู้ยืมจากธนาคารของยุโรป โดยเป็นธนาคารสเปนและฝรั่งเศส ประมาณ 82,000 และ 38,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ และเป็นหนี้ต่างประเทศระยะสั้นภาคเอกชน (ครบกำหนดชำระหนี้น้อยกว่า 1 ปี) 98,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ความกังวลที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ตุรกีมีปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและการคลัง (twin deficit) ที่ร้อยละ 5.5 และ 3.1 ตามลำดับ รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อและการจ้างงานอยู่ในระดับที่สูงถึงร้อยละ 11.1 และ 11.2 ในปี 2560 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่าปี 2561 จีดีพีตุรกีจะขยายตัวร้อยละ 4.4 ชะลอลงจากร้อยละ 7.0 ในปีก่อนหน้า
นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านผลกระทบต่อไทยระยะสั้นสถานการณ์จะเพิ่มความไม่แน่นอนในตลาดเงินและตลาดทุนไทย ทำให้ค่าเงินอาจจะอ่อนค่าและตลาดหลักทรัพย์ของไทยปรับลดลงชั่วคราว สำหรับการส่งออกจากไทยไปตุรกีมีความเสี่ยงที่จะลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจตุรกีมีแนวโน้มถดถอย และการอ่อนค่าเงินอย่างรุนแรง ทำให้สินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น และส่งผลต่อเนื่องทำให้ความต้องการนำเข้าลดลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลกระทบต่อการค้าระหว่างไทย-ตุรกีจะไม่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการส่งออกไทยทั้งปี 2561 ที่ร้อยละ 8.0 นอกจากนี้ ด้านการท่องเที่ยวอาจส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจากตุรกีลดลง แต่เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวตุรกีในไทยค่อนข้างน้อย จึงไม่น่าจะกระทบต่อภาพรวมการท่องเที่ยวของไทย ส่วนกรณีที่ตุรกีมีความเป็นไปได้ที่จะใช้นโยบายควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุน (Capital Control) ไม่น่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อไทย เนื่องจากไทยยังมีการลงทุนในตุรกีไม่มากนัก
ทั้งนี้ ประเทศตุรกีเป็นตลาดส่งออกของไทยอันดับที่ 33 มีมูลค่าการส่งออก ครึ่งปีแรก (มค.- มิย.) อยู่ที่ 644.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 0.51 ของการส่งออกไทยทั้งหมด และขยายตัวร้อยละ 4.13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสินค้าส่งออกสำคัญ ประกอบด้วย รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศ เส้นใยประดิษฐ์ ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง เม็ดพลาสติก และตู้เย็น เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย