กระทรวงมหาดไทย 9 ส.ค. – ผอ.สำนักบริหารทะเบียน กรมการปกครองแจงความต่างการพิจารณาให้สัญชาติไทยทีมหมูป่าฯ กับกรณีหม่อง ทองดี ที่ขอนานแล้วแต่ยังไม่ได้”
นายวีนัส สีสุข ผู้อำนวยการสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ “สำนักข่าวไทย” ทางโทรศัพท์กรณีการขอสัญชาติไทยของนายหม่อง ทองดี อายุ 21 ปีที่เคยสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยเมื่อ 9 ปีก่อน โดยเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าแข่งขันพับเครื่องบินกระดาษที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งสังคมตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดยังไม่ได้รับพิจารณาได้สัญชาติเหมือนกับสมาชิกทีมหมูป่าอะคาเดมี ว่า กรณีของ นายหม่อง ทองดี เกิดในประเทศไทย แต่บิดาและมารดาเป็นแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมา ไม่เหมือนกับสมาชิกทีมหมูป่าคือ ด.ช.อดุลย์ สามอ่อน ด.ช.มงคล บุญเปี่ยม และนายพรชัย คำหลวงที่มารดาเป็นชาวไทยลื้อ ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย ไม่ใช่แรงงานต่างด้าว
“ทั้ง 3 คนได้รับสัญชาติในหลักเกณฑ์ที่แตกต่างกัน กรณีนายพรชัยและด.ช.มงคลเกิดในประเทศไทยมีแม่เป็นคนไทยลื้อเข้ามาประเทศไทยตั้งแต่ปี 2538 เข้าหลักตาม มติคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 7 ธันวาคม 2559 ในกลุ่มแรกที่กำหนดว่าบุตรของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดในประเทศไทยได้ ถ้าพ่อแม่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 15 ปี ส่วน ด.ช.อดุลย์อยู่ในกลุ่มที่ 2 เป็นเด็กไร้สัญชาติที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง อาศัยอยู่ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 10ปี เรียนหนังสือและมีหนังสือรับรองความเป็นบุคคลไร้รากเหง้าจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)” นายวีนัส กล่าว
นายวีนัส กล่าวว่า สำหรับนายหม่อง ทองดีเป็นลูกของคนต่างด้าวที่ไม่ใช่ชนกลุ่มน้อย จะได้รับสัญชาติไทยได้จะต้องจบปริญญาตรี ซึ่งสามารถดำเนินการได้หลังจบการศึกษา และอีกกรณีคือการทำคุณประโยชน์ให้ประเทศ ซึ่งจะต้องมีหนังสือรับรองการทำคุณประโยชน์จากส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ซึ่งนายหม่อง ทองดี ยื่นขอสัญชาติในหลักเกณฑ์เรื่องการทำคุณประโยชน์ให้ประเทศ แต่ยังขาดหนังสือรับรองจากหน่วยงานของรัฐ เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หน่วยงานที่ส่งเข้าแข่งขัน เป็นต้น จึงจะเข้าหลักเกณฑ์ให้อธิบดีกรมการปกครองพิจารณา หากเข้าหลักเกณฑ์จะส่งเรื่องไปที่ภูมิลำเนา และนำหนังสือดังกล่าวไปยื่นขอสัญชาติ
ขณะที่พระวิสารโทภิกขุหรือโค้ชเอกเข้าหลักเกณฑ์กฎหมายสัญชาติไทย มาตรา 23 ปี 2551 กรณีของคนต่างด้าวที่เกิดในไทย และไม่ได้สัญชาติไทย เนื่องจากพระวิสารโทภิกขุเกิดในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การให้สัญชาติไทยซึ่งเป็นเหตุให้บิดาพระวิสารโทภิกขุต้องคืนสัญชาติ อย่างไรก็ตาม ต่อมามาตรา 23 ระบุให้คืนสัญชาติให้บิดาพระวิสารโทภิกขุซึ่งเสียชีวิตแล้ว แต่สัญชาติให้ตกถึงบุตรที่เกิดในไทยจนถึง 27 กุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งมีหนังสือรับรองคลอดในอำเภอแม่สาย พระวิสารโทภิกขุจึงเข้าข่ายได้สัญชาติไทย
สำหรับบุคคลไร้สัญชาติในประเทศไทยปัจจุบันมีกว่า 4.8 แสนคน โดยมีเด็กที่เกิดในประเทศไทยประมาณ 1 แสนคน.-สำนักข่าวไทย
