“สมคิด” สั่ง 14 สนง.บีโอไอต่างประเทศชักจูงลงทุนเชิงรุก

กรุงเทพฯ 6 ส.ค. –  “สมคิด” มอบนโยบาย 14 สำนักงานบีโอไอต่างประเทศ เร่งชักจูงลงทุนเชิงรุกจากกลุ่มเป้าหมาย เน้นโครงการลงทุนเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน  ลดเหลื่อมล้ำ และความยั่งยืน พร้อมเกลี่ยกำลังเจ้าหน้าที่ไปประเทศเป้าหมายมากขึ้น และใช้ AI ประมวลผลข้อมูลทำงานเป็นหน่วยงานแรกของประเทศ


นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมหัวหน้าสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในต่างประเทศ ทั้ง 14 แห่ง พร้อมมอบนโบบายให้ชักจูงการลงทุน โดยให้เน้น 3 ด้านเท่ากัน คือ โครงการลงทุนที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ โครงการลงทุนที่ช่วยลดการเหลื่อมล้ำ และโครงการลงทุนที่เน้นความยั่งยืน พร้อมเพิ่มการดึงดูดการลงทุนกลุ่มบริการมากขึ้น เพราะปัจจุบันกลุ่มนี้มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 60 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) แล้ว และมาตรการชักจูงการลงทุนจะต้องเป็นลักษณะที่เหมาะกับนักลงทุนเป้าหมายที่เห็นแล้วเข้ามาลงทุนในไทย 

สำหรับกลุ่มประเทศเป้าหมายดึงดูดการลงทุน ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง และไต้หวัน เป็นต้น  และการที่ประเทศไทยอยู่ระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่านการดึงดูดการลงทุนจะเน้นอุตสาหกรรมไฮเทคอย่างเดียวไม่ได้ เพราะจะทำให้นักลงทุนเข้าใจผิดว่าต้องการแต่อุตสาหกรรมไฮเทค จึงขอให้บีโอไอปรับการดึงดูดการลงทุน โดยให้ยังคงดึงดูดกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมที่ประเทศไทยมีอยู่แล้วเอาไว้ เพื่อเป็นการรักษาฐานการลงทุนเอาไว้ แต่ต้องยกระดับและพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมเหล่านี้ให้ดียิ่งขึ้น บวกกับการดึงดูดกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ให้เข้ามาลงทุน


ส่วนกรณีที่บีโอไอ มีเจ้าหน้าที่รวม 300 คน ไม่เพียงพอนั้น สามารถขอเพิ่มเจ้าหน้าที่ได้ เบื้องต้นให้เกลี่ยกำลังเจ้าหน้าที่จากประเทศที่มีโอกาสชักจูงการลงทุนน้อยมายังประเทศเป้าหมายสำคัญที่มีโอกาสดึงดูดการลงทุนมากกว่า เช่น จีน ญี่ปุ่นตอนใต้ เกาหลีใต้ ฮ่องกงและไต้หวัน   พร้อมให้บีโอไอ ยึดเป็นนโยบายในการนำระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ  AI เข้ามาช่วยในการประมวลผลข้อมูลจากศูนย์ของบีโอไอทั่วโลกและเชื่อมโยงข้อมูลในการทำงานบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะปีนี้เป้าหมายการลงทุนของบีโอไอ คือ 720,000 ล้านบาท เท่ากับเจ้าหน้าที่ต่อคนดูแลถึงกว่า 2,000 ล้านบาท ในส่วนการชักจูงการลงทุนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ นักลงทุนยังไม่ยอมรับความเสี่ยงที่มีอยู่จะต้องทำข้อเสนอที่มีแรงจูงใจมากพอที่จะทำให้นักลงทุนสนใจเข้าไปลงทุนต่อไป 

นายสมคิด กล่าวว่า ในการชักจูงการลงทุนได้ขอให้เจ้าหน้าที่บีโอไอเริ่มจากการฉายภาพให้นักลงทุนเห็นถึงโอกาสที่จะได้รับจากการเข้ามาลงทุนในไทยที่ภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศมีที่ตั้งเป็นศูนย์กลางของกลุ่มความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจอิรวดี – เจ้าพระยา – แม่โขง (ACMECS) และยังสามารถเชื่อมต่อกับโครงการ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (One Belt, One Road) ของสาธารณรัฐประชาชนจีน และ Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership (CPTTP) ภายใต้การนำของญี่ปุ่น เป็นต้น จากนั้นให้เชื่อมโยงเข้ามาลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี 

ทั้งนี้ ยังขอให้บีโอไอ เตรียมมาตรการดึงดูดการลงทุนที่เหมาะสมกับกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาดูลู่ทางการลงทุนในไทยเร็ว ๆ นี้ ได้แก่ กลุ่มนักลงทุนจากจีนจะเข้ามาช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้  ญี่ปุ่นเดือนตุลาคมปีนี้ ซึ่งสนใจด้านนวัตกรรมและสตาร์ทอัพ ส่วนปีหน้านักลงทุนฮ่องกงจะเดินทางดูลู่ทางการลงทุนในประเทศไทยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์  


นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการบีโอไอ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการบีโอไอชุดใหญ่ครั้งต่อไปเร็ว ๆ นี้ สำนักงานบีโอไอจะเสนอทบทวนมาตรการส่งเสริมการลงทุนกลุ่มบริการ โดยจะเพิ่มประเภทกิจการใหม่ ๆ มากขึ้น เช่น ดิจิทัลเซอร์วิส เป็นต้น เพราะขณะนี้นโยบายชุดใหม่ใช้ผ่านไป 3 ปีเศษแล้ว

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ไทยอยู่ในช่วงที่ดีมาก เพราะจากการเดินทางไปโรดโชว์ต่างประเทศกับรองนายกรัฐมนตรี พบว่าขณะนี้นักลงทุน เช่น ญีปุ่น เกาหลใต้ สหรัฐ และจีน  กำลังมองหาประเทศที่จะเข้ามาลงทุนใหม่ ซึ่งไทยมีโอกาสมาก ดังนั้น บีโอไอต้องปรับกำลังเจ้าหน้าที่รองรับให้เหมาะสม โดยญี่ปุ่นเห็นว่าการลงทุนในจีนประสบปัญหาต้นทุนที่แพง เกาหลีใต้ก็กำลังมองหาพื้นที่ลงทุนใหม่  นักลงทุนสหรัฐประสบปัญหาสงครามการค้ากับจีนกำลังหาพื้่นที่รองรับการลงทุนใหม่ ขณะที่นักลงทุนจากจีน กำลังมองหาพื้นที่การลงทุนตามนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง เป็นต้น

สำนักงานต่างประเทศของบีโอไอทั้ง 14 แห่ง ประกอบด้วย สำนักงานฯ นครนิวยอร์ก และนครลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา  นครแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน  นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย กรุงโตเกียว และนครโอชากา ประเทศญี่ปุ่น  นครเซี่ยงไฮ้  กรุงปักกิ่ง และนครกวางโจว  สาธารณรัฐประชาชนจีน  กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้  เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย  และ สำนักงานฯ ไทเป  ไต้หวัน. -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เหล้าเถื่อนลาว

เสียชีวิตรายที่ 6 คลัสเตอร์เหล้าเถื่อนในลาว

คลัสเตอร์เหล้าเถื่อนในลาว มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตเพิ่มรายที่ 6 เป็นหญิงชาวออสเตรเลีย เสียชีวิตขณะรักษาตัวในไทย

ย้ายเจ้ากรมยุทธศึกษา ทบ.

ย้ายเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ช่วยปฏิบัติราชการที่กองบัญชาการกองทัพบก หลังถูกร้องทำร้ายร่างกายผู้ใต้บังคับบัญชา พร้อมช่วยเจ้าทุกข์ย้ายหน่วยตามร้องขอ

ไฟไหม้โรงงานพัดลม เผาวอดเสียหายกว่า 50 ล้าน

ไฟไหม้โรงงานผลิตพัดลมรายใหญ่ จ.สมุทรสาคร ระดมรถดับเพลิงระงับเหตุ กว่า 5 ชม. จึงควบคุมไว้ได้ในวงจำกัด เบื้องต้นเสียหายกว่า 50 ล้านบาท

ข่าวแนะนำ

กรมอุตุฯ เผยไทยตอนบนอุณหภูมิสูงขึ้น-ภาคใต้ฝนตกหนัก

กรมอุตุฯ เผยไทยตอนบนอุณหภูมิสูงขึ้น เตือนภาคใต้ตอนล่างฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก

ภรรยาหมอบุญมอบตัว

“ภรรยา-ลูก” หมอบุญ อ้างถูกปลอมลายเซ็น ไม่เคยรู้การกระทำใดๆ

ทนายความภรรยา-ลูก หมอบุญ เผยถูกปลอมลายเซ็นเอกสาร ไม่เคยรับรู้การกระทำใดๆ ของหมอบุญ โดยภรรยาได้หย่าร้างกับหมอบุญ ก่อนปี 66

น้ำผุดเชียงดาว

น้ำใต้ดินผุดท่วมอ่วม “บ้านเรือน-พื้นที่เกษตร” อ.เชียงดาว

มวลน้ำมหาศาลผุดขึ้นจากใต้ดิน เอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่เกษตร และบ้านเรือนประชาชน หลายหมู่บ้าน ใน อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ระดับน้ำบางจุด ท่วมบ้านเกือบถึงหลังคา พื้นที่การเกษตรเสียหายกว่า 400 ไร่