กรุงเทพฯ 27 มิ.ย.- ไออาร์พีซีประเมิน ราคาน้ำมันปีนี้ที่ 60 – 70 ดอลลาร์/บาร์เรล แม้สหรัฐจะคว่ำบาตรอิหร่าน ยิ้มรับบาทอ่อนค่า ส่งผลรายได้เพิ่ม ด้าน รมว.พลังงาน ปรับแผนรับเทคโนโลยีใหม่ ส่งเสริมโซลาร์ภาคประชาชนให้ซื้อขายกันเอง แต่อาจไม่รับซื้อเข้าระบบ ส่วนภาคใต้ หากอาร์พีเอสเกิด “ชีวมวล”สำเร็จ อาจไม่จำเป็นต้องลงทุน FSRU นำเข้าแอลเอ็นจี
นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) คาดราคาน้ำมันปีนี้จะยังทรงตัวที่ 60-70 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล แม้จะมีการคว่ำบาตรอิหร่าน และทางกลุ่มโอเปกและนอกโอเปกตกลงเพิ่มกำลังผลิต 1 ล้านบาร์เรล/วัน น้อยกว่าคาดการณ์ก็ตาม ซึ่งในส่วนนี้แม้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงจะเพิ่มขึ้นเพราะเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการร้อยละ 7 ก็ตาม แต่ราคาผลิตภัณฑ์ เช่น ปิโตรเคมีก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ด้านเงินบาทที่อ่อนค่าแตะ 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นผลดี เพราะกำไรต่อหน่วยของบริษัทเป็นดอลลาร์ เมื่อแปลงเป็นบาทรายได้ของบริษัทก็จะเพิ่มขึ้น ประกอบกับปีนี้บริษัทมีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นและไม่มีแผนปิดซ่อมบำรุงเหมือนปีที่แล้วก็ ส่งผลให้บริษัทมีผลดำเนินการที่ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว ปีที่แล้วมีอีบิทด้า (กำไรก่อนดอกเบี้ยภาษีค่าเสื่อมและค่าจัดจำหน่าย) 20,354 ล้านบาท และขณะนี้มีหนี้สินราว 5 หมื่นล้านบาทในจำนวนนี้เป็นสกุลดอลลาร์ประมาณ 500 ล้านเหรียญ
ในขณะที่ผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและคู่ค้านั้น ในขณะนี้ยังไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีแต่อย่างใด โดยบริษัทได้จับตาดูอย่างใกล้ชิด ซึ่งแม้ว่าประเทศใดประเทศหนึ่งลดการสั่งซื้อสินค้าระหว่างกัน ก็จะต้องซื้อจากประเทศอื่นๆ สินค้าโภคภัณฑ์ในส่วนนี้ก็จะมีการไหลเข้าไปทดแทน โดยในปัจจุบันบริษัทส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีประมาณร้อยละ 40 ของกำลังผลิตทั้งหมด โดยส่งออกไปจีนร้อยละ 20 และอาเซียนร้อยละ 20 ซึ่งในกรณีของจีนเศรษฐกิจภายในประเทศก็ยังเติบโตต่อเนื่อง
ด้านนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน กล่าวว่า ในขณะนี้กำลังทบทวนแผนด้านพลังงานให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงโลกอย่างรวดเร็ว โดยในส่วนของการส่งเสริมโซลาร์รูฟท็อปภาคประชาชนนั้น จะส่งเสริมให้เกิดการซื้อขายไฟส่วนที่เหลือใช้ ระหว่างกันเองของภาคประชาชนหรือเอกชน ในลักษณะสมาร์ทกริด โดยไม่มีนโยบายจะรับซื้อเข้าระบบ ด้วยการจำหน่ายเข้ามาให้ 3 การไฟฟ้าแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน ในภาคใต้ที่กำลังส่งเสริมเรื่องไฟฟ้าชีวมวล ใช้ยางพาราและพืชท้องถิ่มเป็นเชื้อเพลิง และให้ตั้งบริษัทอาร์พีเอสบริหารจัดการไฟฟ้าใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ หากโมเดลนี้สำเร็จก็อาจจะไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลมากขึ้น และอาจจะทำให้ไม่ต้องนำเข้าแอลเอ็นจีในภาคใต้ ที่ขณะนี้ได้มอบหมายให้ ปตท. ศึกษานำเข้าในลักษณะคลังลอยน้ำหรือเอฟเอสอาร์ยูแต่อย่างใด
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวเรื่องดังกล่าววานนี้ ในระหว่างปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “นโยบายการพัฒนาด้านพลังงานอย่างยั่งยืน ในบริบทของประเทศไทยสู่การขับเคลื่อนการดำเนินงานตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยังยืน (Sustainable Development Goals: SDGs ในงานสัมมนาประจำปี 2561 ที่จัดโดยองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน(TBCSD). -สำนักข่าวไทย
