กรุงเทพฯ 5 มิ.ย.- กก.พิจารณาร่างพ.ร.บ.ตำรวจฯ ปฏิรูปใหญ่สายงานสอบสวน ให้แต่ละสายงานมีพนักงานสอบสวนของตัวเอง และเป็นหนึ่งในแคนดิเดตผบ.ตร.
นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยความคืบหน้าการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ตำรวจ ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นที่เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการปฏิรูปตำรวจ คือการทำหน้าที่ของเจ้าพนักงานสอบสวน 1 ใน 4 สายงานของการจัดส่วนราชการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยร่างใหม่จะระบุถึงความหมายของสายงานสอบสวนไว้ว่า สายงานสอบสวน ได้แก่งานเกี่ยวกับการสอบสวนและงานสืบสวนที่เกี่ยวเนื่องกับการสอบสวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายว่าด้วยการสอบสวนและกฎหมายอื่น
“หมายความว่าในสายงานสอบสวน จะมีเจ้าพนักงานสืบสวนเพื่อประโยชน์ในการรวบรวมพยานหลักฐานทำสำนวนคดีภายใต้บังคับบัญชาของสายงานตัวเองแยกออกมาจากงานสืบสวนทั่วไปเพื่อป้องกันอาชญากรรมซึ่งอยู่ในสายงานป้องกันและปราบปราม และการมีพนักงานสืบสวนภายใต้บังคับบัญชาในสายงานสอบสวนเองจะเป็นหลักประกันในการทำงานภายในกรอบอำนาจหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดจากการแทรกแซง” นายคำนูณ กล่าว
นายคำนูณ กล่าวว่า ส่วนตำแหน่งของข้าราชการตำรวจทั้งหมดตามร่างพ.ร.บ.ตำรวจฯ ฉบับใหม่ที่ปรับแก้จากเดิมจะมีดังนี้ (1) ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (2) จเรตำรวจ และรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (3) ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (4) ผู้บัญชาการ และผู้บัญชาการสอบสวน (5) รองผู้บัญชาการ และรองผู้บัญชาการสอบสวน (6) ผู้บังคับการ และผู้บังคับการสอบสวน (7) รองผู้บังคับการ และรองผู้บังคับการสอบสวน (8) ผู้กำกับการ และรองผู้กำกับการสอบสวน (9) รองผู้กำกับการ และรองผู้กำกับการสอบสวน (10) สารวัตร และสารวัตรสอบสวน (11) รองสารวัตร รองสารวัตรสอบสวน และพนักงานสืบสวนในการสอบสวน (12) ผู้บังคับหมู่ และผู้ช่วยพนักงานสอบสวน และ(13) รองผู้บังคับหมู่
“ประเด็นที่ปรับแก้คือระบุชื่อตำแหน่งในสายงานสอบสวนไว้ในทุกระดับเริ่มต้นที่ผู้บังคับหมู่และผู้ช่วยพนักงานสอบสวน ขึ้นไปจนถึงสูงสุดที่ผู้บัญชาการและผู้บัญชาการสอบสวน และเพิ่มตำแหน่งพนักงานสืบสวนในสายงานสอบสวนไว้ในชื่อ ‘พนักงานสืบสวนในการสอบสวน’ ไว้ที่ตำแหน่งระดับเทียบเท่ารองสารวัตรตามปรากฎใน จะเห็นได้ว่าเมื่อเริ่มบรรจุเข้ารับราชการชั้นสัญญาบัตรในสายงานสอบสวนที่ตำแหน่งรองสารวัตรสอบสวนตามจะมีโอกาสเติบโตในสายงานตามลำดับจนถึงระดับผู้บัญชาการ” นายคำนูณ กล่าว
ส่วนตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตามและรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตาม นายคำนูณ กลล่าวว่า จะบัญญัติไว้ในมาตราต่อ ๆ ไปให้แต่งตั้งจากสายงานสอบสวน 2 คนและ 1 คนตามลำดับ ดังนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสายงานสอบสวนจะเป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่จะได้รับการพิจารณาให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพราะในมาตราต่อ ๆ ไปข้างหน้าจะกำหนดให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาจากผู้ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและจเรตำรวจเป็นหลัก
“เพื่อความเป็นอิสระในการสอบสวน และการทำความเห็นทางคดี ร่างฯใหม่จึงกำหนดตำแหน่งของข้าราชการตำรวจไว้ให้มีผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสายงานสอบสวนโดยเฉพาะ ตั้งแต่ระดับหัวหน้าสถานีตำรวจหรือระดับกองกำกับการขึ้นไปจนถึงระดับกองบัญชาการควบคู่กันไปกับตำแหน่งผู้บังคับบัญชาทั่วไป โดยผู้บังคับบัญชาทั่วไปในแต่ละระดับยังคงมีหน้าที่และอำนาจสูงสุดในการบริหารหน่วยงานเหมือนเดิม ยกเว้นแต่อำนาจและหน้าที่ในการสอบสวนและการทำความเห็นทางคดี ให้เป็นหน้าที่และอำนาจของผู้บังคับบัญชาสายงานสอบสวน” นายคำนูณ กล่าว
ส่วนการแต่งตั้งโยกย้ายและการเลื่อนเงินเดือนประจำปี นายคำนูณ กล่าวว่า คณะกรรมการฯ เห็นว่าแม้จะเป็นหน้าที่และอำนาจของผู้บังคับบัญชาทั่วไปในระดับกองบัญชาการและกองบังคับการ แต่จะต้องดำเนินการตามข้อเสนอของผู้บังคับบัญชาสายงานสอบสวน เว้นแต่ในกรณีที่เห็นว่าข้อเสนอของผู้บังคับบัญชาสายงานสอบสวนมิได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายหรือกฎที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) กำหนด ให้ผู้บังคับบัญชาทั่วไปมีอำนาจสั่งให้ผู้บังคับบัญชาสายงานสอบสวนทบทวนให้ถูกต้องตามที่กฎหมายหรือกฎก.ตร.กำหนดได้
“หากผู้บังคับบัญชาสายงานสอบสวนทบทวนแล้วยังยืนยันตามข้อเสนอเดิม แต่ผู้บังคับบัญชาทั่วไปเห็นว่าการดำเนินการนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือกฎก.ตร. ให้ผู้บังคับบัญชาทั่วไปมีอำนาจออกคำสั่งให้ถูกต้องตามกฎหมายหรือกฎก.ตร. แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับผลกระทบจากคำสั่งดังกล่าวที่จะร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ตำรวจ(ก.พ.ค.ตร.) หรือฟ้องศาลปกครองแล้วแต่กรณี” นายคำนูณ กล่าว
นายคำนูณ กล่าวว่า ร่างใหม่ยังกำหนดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในสายงานสอบสวนที่ดำรงตำแหน่งตาม (8) (9) (10) (11) และ (12) เฉพาะที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำอยู่ที่สถานีตำรวจ ได้รับเงินเพิ่มเป็นกรณีพิเศษตามอัตราที่ก.ตร.กำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง โดยให้คำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานและการดำรงตนอยู่ในความยุติธรรมได้อย่างมีเกียรติ เทียบกับค่าตอบแทนที่รัฐจ่ายให้แก่ข้าราชการฝ่ายอื่นที่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมประกอบด้วย ซึ่งบทบัญญัตินี้มีอยู่แล้วในพ.ร.บ.ตำรวจฯฉบับปัจจุบัน แต่คณะกรรมการฯปรับแก้ให้เน้นเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำอยู่ที่สถานีตำรวจ เพื่อให้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดของรัฐลงตรงไปที่สถานีตำรวจอันเป็นหน่วยที่ใกล้ชิดประชาชนที่สุด และเพื่อมิให้กำลังพลไปกระจุกตัวอยู่แต่เฉพาะในส่วนกลางโดยไม่จำเป็น.- สำนักข่าวไทย
