กทม.12 พ.ค.- ผลสำรวจ “พ่อแม่ยุคใหม่วางแผนอย่างไรเมื่อใกล้เปิดเทอม” พบกลุ่มตัวอย่างเกินครึ่ง ระบุจะส่งลูกไปเรียนพิเศษเพิ่มเพราะจำเป็นมากในระบบการศึกษาปัจจุบัน โดยเฉพาะภาษาที่ 3 พร้อมขอรัฐบาลสนับสนุนสร้างหลักสูตรทางเลือกที่หลากหลายเหมาะกับศักยภาพเด็ก ให้ครูสอนเต็มที่จะได้ไม่ต้องให้ลูกไปเรียนพิเศษเพิ่ม
กรุงเทพโพลล์ โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจความคิดเห็นเรื่อง “พ่อแม่ยุคใหม่วางแผนอย่างไรเมื่อใกล้เปิดเทอม” โดยเก็บข้อมูลจากพ่อแม่ ผู้ปกครองที่มีลูกหลานศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาล-มัธยมศึกษา หรือเทียบเท่าในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 1,175 คน
โดยเมื่อถามว่าระบบการศึกษาไทยในปัจจุบันมีความจำเป็นเพียงใดที่ต้องส่งบุตรหลานไปเรียนพิเศษ พ่อแม่ส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 66.8 ระบุว่าจำเป็นมาก รองลงมาร้อยละ 20.4 ระบุว่าจำเป็นน้อยและมีเพียงร้อยละ 12.8 ระบุว่าไม่จำเป็นเลย
ส่วนการวางแผนเพื่อเพิ่มทักษะและความสามารถให้ลูกๆ ในเทอมใหม่นี้ ร้อยละ40.8 จะเน้นด้านภาษาที่ 3 เช่น ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น รองลงมาร้อยละ 38.0 เน้นด้านกีฬา และร้อยละ 23.6 เน้นด้านดนตรี ร้องเพลง นาฏศิลป์
โดยวิธีการสนับสนุนเพื่อเพิ่มทักษะความสามารถให้ลูกๆ พ่อแม่ร้อยละ 47.8 ให้ลูกเรียนเสริมในสิ่งที่ชอบไม่บังคับหรือกำหนดให้ลูก รองลงมาร้อยละ 46.5 กำหนดให้ลูกไปเรียนเพื่อสร้างทักษะเฉพาะเช่น ดนตรี กีฬา คณิต ศิลปะ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ฯลฯ และร้อยละ 37.8 ให้ลูกเรียนพิเศษด้านวิชาการในวันธรรมดาและวันเสาร์-อาทิตย์
ขณะที่ค่าเรียนพิเศษเพื่อเสริมทักษะความสามารถให้ลูกๆ ด้านต่างๆ ในปัจจุบันร้อยละ 49.9 ระบุว่า ราคาพอดีแล้ว รองลงมาร้อยละ 29.0 ระบุว่าราคาสูงแต่พอรับได้ และร้อยละ 5.3 ระบุว่า ราคาสูงมากจนไม่สามารถรับได้
สำหรับการจัดเตรียมค่าใช้จ่ายสำหรับแผนการศึกษาของลูกๆ ส่วนใหญ่ร้อยละ 70.6 ระบุว่ามีการจัดสรรเงินไว้สำหรับการศึกษาของลูกโดยเฉพาะ รองลงมาร้อยละ 31.7 ระบุว่านำเงินเก็บออมออกมาใช้ และร้อยละ 10.5 ระบุว่าหยิบยืมจากญาติเพื่อนกรณีหมุนเงินไม่ทัน
ส่วนเรื่องที่ต้องการการสนับสนุนด้านการศึกษาจากรัฐบาลมากที่สุด ร้อยละ 17.7 คือสร้างหลักสูตรทางเลือกที่หลากหลายเหมาะกับศักยภาพของเด็กรองลงมาร้อยละ 17.5 คือ ให้ครูสอนเต็มที่จะได้ไม่ต้องไปเรียนพิเศษเพิ่ม และร้อยละ 15.9 ให้พัฒนาครูให้มีเทคนิคการสอนโดยยึดนักเรียนเป็นหลัก .-สำนักข่าวไทย