นนทบุรี 7 พ.ค. – สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เผย ผู้ค้า – ผู้ซื้อ เห็นด้วยสลากรวมชุด เตรียมลงพื้นที่ทั่วประเทศฟังเสียงประชาชน คาดเริ่มพิมพ์สลากรวมชุดงวดแรก 16 ก.ค. นี้
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ในฐานะโฆษกสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยถึงการเปิดประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็นการทำสลากรวมชุดครั้งที่ 1 ในกรุงเทพฯ ว่า ขณะนี้มีประชาชนทั้งผู้ค้าและผู้ซื้อได้แสดงความคิดเห็นเข้ามาผ่านทั้งทางเว็บไซต์และส่งจดหมายเปิดผนึกกว่า 2,000 ราย ซึ่งในจำนวนนี้กว่าร้อยละ 70 ต้องการให้จัดทำสลากรวมชุด โดยส่วนใหญ่ต้องการให้นำสลากใบเล็กมารวมชุด 5 ใบ เพราะมองว่าง่ายต่อการขาย และสามารถขายแยกเป็นใบเดี่ยวหรือ 2 ใบได้ ซึ่งหลังจากนี้สำนักงานสลากฯ จะลงพื้นที่เพิ่มเติมในส่วนของแต่ละภูมิภาคเพื่อรวบรวมข้อมูลความคิดเห็นการทำสลากรวมชุดทั้งหมด ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต นครสวรรค์ และเลย ซึ่งคาดว่าจะสรุปเสนอคณะกรรมการได้ทั้งหมดได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ ก่อนที่จะเริ่มจำหน่ายสลากรวมชุดงวดแรกในวันที่ 16 กรกฎาคม 2561
ทั้งนี้ในเบื้องต้นจะมีการรวมชุดประมาณ ร้อยละ 70 ของจำนวนสลากทั้งหมดในระบบ 80 ล้านใบ ส่วนอีกร้อยละ 30 จะเป็นสลากใบเดี่ยว แต่ในช่วงแรกจะทดลองรวมชุดประมาณ ร้อยละ 20 – 30 หรือประมาณ 20 ล้านใบ เพื่อดูความต้องการก่อนทั้งของผู้ค้าและผู้ซื้อก่อน
อย่างไรก็ตามในส่วนของโควตาสลากนั้น ผู้ที่ได้รับโควต้ายังจะได้รับสลากจำนวน 5 เล่มตามเดิม โดยผู้ค้าที่ต่อสัญญาได้สามารถได้รับโควตาของสลากรวมชุดไปด้วยโดยปริยาย ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานตัดโควตาผู้ค้าไปแล้ว จากปัญหาการค้าสลากแพงกว่ากำหนด จำนวน 5,000 ราย รายจากผู้ค้าสลากฯทั้งหมดประมาณ 2 แสนราย
นายสมชาย ปัญญ์เอกวงศ์ ประธานที่ปรึกษาสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สนับสนุนให้มีการรวมสลากเป็นชุด แต่ขอให้แยกสลากฯเป็นคนละใบ เพราะหากใช้ใบเดียวแทน 5 ใบหรือ 10 ใบ ผู้ค้าสลากฯจะไม่สามารถแยกขายใบเดี่ยว 2 ใบ หรือ 3 ใบได้ และต้องการให้จัดสรรสลากรวมชุดให้กับผู้ค้ารายย่อย เพราะกระบวนการรวมชุดในปัจจุบันผู้ค้าฯจะต้องนำสลากใบเดี่ยวไปแลกเป็นสลากชุด ทำให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้น 10 บาทต่อใบ จึงส่งผลให้ต้องขายสลากในราคาแพงขึ้น ยืนยันว่า หากจัดสรรให้ผู้ค้ารายย่อยราคาสลากจะขยับลงมาที่ 80 บาทต่อใบแน่นอน
นายประสาน น้อมจันทึก ผู้แทนกลุ่มสลาก 5 ภาค กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วต้องมีการทำสลากรวมชุด เพราะที่ผ่านมากว่า 23 ปี ที่มีการขายสลากเกินราคา เสนอให้มีการจัดทำสลากรวมชุดแบบสลากใบเดียว แต่ขนาดต่างกัน ราคา 80 , 240 และ 400 บาท โดยต้องการให้กระจายสลากเข้าถึงผู้บริโภคและผู้ค้ารายย่อยตัวจริงมากที่สุด ขณะเดียวกันอยากให้สำนักงานกินแบ่งรัฐบาลลดต้นทุนสลากลง จากเดิมใบละ 68.80 – 70.40 บาท เพราะเมื่อมาถึงยี่ปั๊วจะบวกราคาเพิ่มและขายต่อราคาใบละ 85 – 88 บาท ส่งผลให้ผู้ค้ารายย่อยต้องขายสูงราคาใบละ 100 – 120 บาท
นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยให้สำนักงานสลากฯจัดทำสลากรวมชุด เพราะเชื่อว่าจะแก้ปัญหาสลากราคาแพงไม่ได้ เพราะสภาพสภาพตลาดปัญหาในปัจจุบันคนที่ได้รับโตวตา ไม่ขายเอง และยังมีการขายผ่านคนกลาง ขณะที่คนขายตัวจริงไม่ได้สลากแต่ก็ต้องไปซื้อสลากต่อ เพราะถ้าระบบสลากยังเป็นแบบนี้จะยังราคาแพงอยู่ แนะควรมีการจ้างทีมวิชาการ สำรวจ “ผู้ค้าสลากตัวจริง” ว่าเป็นใคร และควรให้สิทธิ์ค้าสลากกับผู้อยู่ในภาวะยากลำบาก ทั้ง ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และผู้มีรายได้น้อย ก่อนผู้ค้าทั่วไป
ทั้งนี้ การจัดสลากรวมชุดถือเป็นการที่รัฐบาลส่งเสริมการซื้อสลากแบบทวีคูณ อาจจะเป็นการมอมเมาประชาชนให้เล่นการพนันมากขึ้น จากปัจจุบันมีผู้ซื้อสลาก ประมาณ 21 ล้านคน เฉลี่ย 3 – 4 ใบ ถ้ามีการรวมชุดสลาก ประชาชนอาจจะนำเงินมาซื้อสลากมากกว่าเดิม พร้อมแนะควรร่วมกันพัฒนากองทุนสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อสังคมให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างพลังความร่วมมือของภาคีทุกภาคส่วนในสังคม
ขณะที่นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ระบุว่าระยะนี้เห็นด้วยกับการทำสลากรวมชุด เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนหันมาซื้อแบบรวมชุดมากขึ้น ดังนั้น เชื่อว่าแนวทางนี้จะช่วยลดปัญหาการขายสลากเกินราคาลงได้ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาสลากอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถดึงเงินจากหวยใต้ดินปีละ 500,000 ล้านบาทเข้าสู่ระบบได้ สำนักงานสลากฯ ควรมีนโนบายขายสลากออนไลน์หรือ Lotto เพราะจะทำให้เกิดความเป็นธรรม แต่ควรจะให้ความสำคัญกับผู้พิการและผู้มีรายได้น้อยในการรับสิทธิ์ได้ขาย Lotto ก่อน เช่น การจัดทำตู้จำหน่าย Lotto และให้สิทธิ์กับผู้ที่มีโควตาเดิมก่อน โดยยืนยันว่าไม่เห็นด้วยหากจะมีการซื้อขาย Lotto ผ่านร้านสะดวกซื้อ.- สำนักข่าวไทย