กรุงเทพฯ 30 เม.ย. – มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเผยผลสำรวจเอสเอ็มอีไทยไตรมาสแรกเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา หลายปัจจัยหนุน แต่ยังคงกังวลต้นทุนสูง
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยนำเสนอผลสำรวจดัชนีความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจเอสเอ็มอีไทย ไตรมาสแรกปี 2561 จากกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจการค้า บริการ และธุรกิจการผลิต 1,253 ตัวอย่าง พบว่า ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 48.2 จากไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา อยู่ที่ระดับ 47.9 เนื่องจากสถานการณ์ธุรกิจไทยโดยรวม ทั้งจากยอดขายรวม สัดส่วนหนี้ต่อต้นทุน หนี้สินรวม การสตอกของวัตถุดิบมีการปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ จากความสามารถในการทำธุรกิจ ต้นทุนต่อหน่วย คุณภาพสินค้า การตั้งราคา รวมถึงการเข้าแหล่งเงินทุน ก็มีการปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งความยั่งยืนของธุรกิจที่สะท้อนถึงการเติบโตระยะยาว ในด้านวิสัยทัศน์ขององค์กร การลงทุนเพื่อพัฒนาองค์กร และการลงทุนวิจัยและพัฒนารวมถึงเทคโนโลยี ก็ปรับตัวดีขึ้นเพิ่มขึ้น แต่ค่าดัชนีความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจเอสเอ็มอี ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 สะท้อนว่าผู้ประกอบการยังเห็นว่าความสามารถทางการแข่งขันโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่แย่ หรือมีแนวโน้มแย่ลง แต่คาดว่าไตรมาส 2 ปีนี้จะปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ระดับ 49.2 และเท่าที่ได้ติดตามภาพรวมเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวจริงเป็นไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมที่มาจากภาคธุรกิจ ภาคการลงทุนจากภาครัฐ ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว เป็นต้น
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) กล่าวว่า จากความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยสำรวจศักยภาพทางการแข่งขันของเอสเอ็มอีไทยนั้น จะช่วยแก้ไขปัญหาภาคธุรกิจไทยได้ตรงจุด ซึ่งจากการจำแนกผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าเอสเอ็มอีแบงก์มีดัชนีความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจอยู่ในระดับที่ดีกว่า โดยเฉพาะการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่อยู่ในระดับที่ดีกว่า จึงมั่นใจว่ามาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีทำได้ตรงจุด และหลังจากนี้จะต้องดึงให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบของธนาคาร และลงไปถึงผู้ประกอบการขนาดย่อม หรือไมโครเอสเอ็มอีมากขึ้น เพราะไม่เพียงความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจะดีขึ้นแล้ว แต่เอสเอ็มอีแบงก์ยังมีกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้ผู้ประกอบการอีกจำนวนมาก รวมทั้งวงเงินสินเชื่อพิเศษตามมาตรการของรัฐบาล และขณะนี้พบว่าภาคธุรกิจเอสเอ็มอีไทยทั้งระบบทั่วประเทศมีไม่ต่ำกว่า 4 ล้านราย และเชื่อว่าหากทุกภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่ายและสะดวกขึ้นจะทำให้ภาคธุรกิจเอสเอ็มอีไทยมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น.-สำนักข่าวไทย