มติ ก.บ.ศ.ไม่รับข้อเรียกร้องกลุ่มค้านสร้างท่ีทำการ ท่ีพักศาลอุทธรณ์ภาค5

กรุงเทพฯ 9 เม.ย.- ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) มีมติไม่สามารถดำเนินการตามข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้คัดค้านก่อสร้างอาคารที่ทำการและที่พักศาลอุทธรณ์ภาค5ได้ชี้ผิดสัญญาอาจถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย เตรียมทำหนังสือถึงนายกฯชี้ขาดจะชะลอโครงการหรือประการอื่นใด


นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) ได้พิจารณาวาระพิเศษเพิ่มเติมกรณีที่สำนักงานศาลยุติธรรมได้ดำเนินการโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 พร้อมบ้านพักข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ซึ่งโครงการดังกล่าวปัจจุบันใกล้เสร็จสมบูรณ์ตามสัญญาแล้ว แต่ปรากฏว่ามีบุคคลกลุ่มหนึ่งคัดค้านและเรียกร้องให้ยุติการก่อสร้างพร้อมให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในโครงการก่อสร้างดังกล่าวออก สำนักงานศาลยุติธรรมขอชี้แจงถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการขอใช้พื้นที่และการดำเนินโครงการดังกล่าวเรียงลำดับดังนี้

1 วันที่ 25 กรกฎาคม 2540 กระทรวงยุติธรรมได้มอบหมายให้สำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 ขอใช้พื้นที่ในราชการทหารบริเวณด้านหลังของหน่วยกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 7 เนื้อที่ประมาณ 106 ไร่ เพื่อก่อสร้างบ้านพักและอาคารที่ทำการของกระทรวงยุติธรรม ต่อมาวันที่ 12 เมษายน 2542 ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 ได้มีหนังสือถึงอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 ให้ยืนยันการขอใช้ที่ดินเพื่อก่อสร้างบ้านพักและอาคารที่ทำการของกระทรวงยุติธรรม


2 วันที่ 21 เมษายน 2542 สำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 ได้มีหนังสือยืนยันใช้ที่ดินบริเวณดังกล่าวเพื่อก่อสร้างบ้านพักและอาคารที่ทำการของกระทรวงยุติธรรม ต่อมาเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2543 ศาลยุติธรรมได้แยกจากกระทรวงยุติธรรมตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 และให้มีสำนักงานศาลยุติธรรมเป็นส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานอิสระ มีฐานะเป็นนิติบุคคล มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวกับงานธุรการของศาลยุติธรรม เพื่อสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้แก่ศาลยุติธรรม

3 วันที่ 31 มกราคม 2546 สำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 มีหนังสือถึง

ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 ขอใช้ที่ดินบริเวณด้านหลังของหน่วยกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 7 เนื้อที่ประมาณ 106 ไร่ เพื่อก่อสร้างอาคารที่ทำการของศาลยุติธรรมและบ้านพัก


 4. ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้มีหนังสือลงวันที่ 13 มีนาคม 2546 รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการขอใช้ที่ดินมายังสำนักงานศาลยุติธรรมว่า มณฑลทหารบกที่ 33 ขอให้จัดทำแผนผังการใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลงที่ขอใช้ เพื่อเสนอกองทัพบกพิจารณา

 5. มณฑลทหารบกที่ 33 ได้มีหนังสือลงวันที่ 4 มีนาคม 2547 แจ้งว่าไม่ขัดข้องที่จะให้สำนักงานศาลยุติธรรมใช้ที่ดินเนื้อที่รวม 147 – 3 – 41 ไร่ เพื่อก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 และบ้านพักข้าราชการฝ่ายตุลาการและขอให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การดูแล บำรุงรักษาที่ราชพัสดุ ประกอบกับก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2546 มณฑลทหารบกที่ 33 มีหนังสือถึงอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 แจ้งว่า ในการขอใช้ที่ดินของสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 มณฑลทหารบกที่ 33 ได้ตรวจสอบแล้ว บริเวณพื้นที่ที่ขอใช้ไม่คาบเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติ สุเทพ – ปุย ป.พัน.7 และหน่วยในพื้นที่แต่อย่างใด ประกอบกับสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 มีความจำเป็นเร่งด่วนในการขอใช้ที่ดิน จึงเห็นควรสนับสนุน

 6. สำนักงานศาลยุติธรรมได้มีหนังสือ ลงวันที่ 19 กันยายน 2548 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ขอใช้ที่ดินเนื้อที่ประมาณ 147 – 3 – 41 ไร่

 7.กรมธนารักษ์มีหนังสือ ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2549 แจ้งอนุญาตให้สำนักงานศาลยุติธรรมใช้ที่ดินราชพัสดุ แปลงหมายเลขทะเบียนที่ ชม. 1723 (บางส่วน) เนื้อที่ 147 – 3 – 30 ไร่ ตามวัตถุประสงค์ที่ขอใช้

8.จังหวัดเชียงใหม่มีหนังสือลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2549 จัดส่งหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ราชพัสดุให้สำนักงานศาลยุติธรรม ซึ่งเมื่อได้รับการอนุญาตให้เข้าใช้พื้นที่โดยถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว สำนักงานศาลยุติธรรมจึงได้ดำเนินการด้านงบประมาณและการจัดซื้อจัดจ้างตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง จนได้ผู้รับจ้างและได้ลงนามในสัญญาโครงการก่อสร้างดังกล่าวในที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ชม. 1723 (บางส่วน) กับบริษัท พี.เอ็น.เอส.ไซน์ จำกัด ผู้รับจ้าง โดยมีบริษัท เอ็นจิเนียริ่งดีไซน์ คอนซัลแตนส์ จำกัด เป็นผู้คุมงาน วงเงินรวม 3 โครงการ จำนวน 955,064,056.28 บาม

โดย  โครงการที่ 1 ก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ ตามสัญญาเลขที่ 87/2557 ลงวันที่ 8 กันยายน 2557 และบันทึกเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาจ้าง (ครั้งที่ 1 – 14) เป็นเงิน 290,495,056.28 บาท (สองร้อยเก้าสิบล้านสี่แสนเก้าหมื่นห้าพันห้าสิบหกบาทยี่สิบแปดสตางค์) กำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ 28 สิงหาคม 2559 ได้รับอนุมัติให้ขยายเวลาก่อสร้างออกไปอีก 242 วัน สัญญาสิ้นสุดวันที่ 27 เมษายน 2560 ผู้รับจ้างได้มีหนังสือส่งมอบงานเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2560 ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ลงรับหนังสือเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2560 คณะกรรมการตรวจการจ้างได้ตรวจรับงานงวดสุดท้าย เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2560 บัดนี้โครงการแล้วเสร็จโดยสมบูรณ์และได้เข้าใช้งานแล้ว

โครงการที่ 2 ก่อสร้างบ้านพักผู้พิพากษา จำนวน 38 หน่วย อาคารชุดพักอาศัยข้าราชการตุลาการ จำนวน 16 หน่วย บ้านพักผู้อำนวยการ จำนวน 1 หน่วย และอาคารชุดพักอาศัยข้าราชการศาลยุติธรรม จำนวน 36 หน่วย พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ ตามสัญญาเลขที่ 31/2557 ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2557 และบันทึกเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาจ้าง (ครั้งที่ 1 – 12) เป็นเงิน 321,670,000 บาท (สามร้อยยี่สิบเอ็ดล้านหกแสนเจ็ดหมื่นบาทถ้วน) กำหนดแล้วเสร็จวันที่ 4 สิงหาคม 2558 ได้รับอนุมัติให้ขยายเวลาก่อสร้างออกไปอีก จำนวน 1,048 วัน สัญญาสิ้นสุดวันที่ 18 มิถุนายน 2561 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างผู้รับจ้างดำเนินการก่อสร้างตามสัญญา ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 โครงการที่ 2 นี้ มีการส่งมอบพื้นที่ให้แก่ผู้รับจ้างเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2557 แบ่งงวดงานออกเป็น 98 งวดงาน ส่งมอบงาน ตรวจรับและเบิกจ่ายเงินแล้ว 82 งวดงาน เป็นเงิน 244,962,886 บาท ยังไม่ได้ส่งมอบจำนวน 16 งวดงาน เป็นเงิน 76,707,114 บาท โดยมีผลงานการก่อสร้างสะสมตามแผนถึงเดือนเมษายน 2561 คิดเป็นร้อยละ 94.62 โดยมีผลงานก่อสร้างจริงร้อยละ 86.08

และโครงการที่ 3 ก่อสร้างบ้านพัก รวมจำนวน 9 หน่วย และอาคารชุดพักอาศัยข้าราชการตุลาการ จำนวน 64 หน่วย พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ ศาลยุติธรรมในจังหวัดเชียงใหม่ตามสัญญาเลขที่ 55/2556 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2556 และบันทึกเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาจ้าง (ครั้งที่ 1 – 16) เป็นเงิน 342,900,000 บาท (สามร้อยสี่สิบสองล้านเก้าแสนบาทถ้วน) กำหนดแล้วเสร็จวันที่ 9 กรกฎาคม 2558 ได้รับอนุมัติให้ขยายเวลาทำการก่อสร้างออกไปอีก 1,066 วัน สัญญาสิ้นสุดวันที่ 9 มิถุนายน 2561 ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 ปรากฏว่าจากงวดงานทั้งหมด 60 งวดงาน มีการส่งมอบงาน ตรวจรับงานและเบิกจ่ายแล้ว 53 งวดงาน คิดเป็นเงิน 270,574,750 บาท ยังไม่ได้ส่งมอบอีก 7 งวดงาน เป็นเงิน 72,325,250 บาท มีผลงานสะสมตามแผนนับถึงเดือนเมษายน 2561 คิดเป็นร้อยละ 89.28 มีผลงานก่อสร้างจริง คิดเป็นร้อยละ 84.52 

 นายสราวุธ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวหากมองภาพในมุมสูง จะเห็นได้ว่า โครงการก่อสร้างดังกล่าวจะอยู่แนวระดับเดียวกับ สวนสัตว์ไนท์ ซาฟารี อ่างเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชุมชนช่างเคียน ชุมชนช้างเผือกเเละในการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวสำนักงานศาลยุติธรรมได้ตระหนักถึงการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมเสมอมา บริเวณก่อสร้างที่มีต้นไม้มีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 30 เซนติเมตรขึ้นไป ได้ขุดล้อมแล้วนำไปปลูกบริเวณใกล้เคียง โดยมีรายละเอียดของต้นไม้ที่ขุดล้อมไปคือ ต้นประดู่ จำนวน 29 ต้น ต้นพลวง จำนวน 86 ต้น สัก จำนวน 4 ต้น ต้นกระบากจำนวน 77 ต้น และไม้เนื้ออ่อนอื่นอีก 44 ต้น รวมจำนวน 240 ต้น ทั้งนี้ เป็นไปตามมติคณะกรรมการตรวจการจ้าง นอกจากนี้ภายหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ สำนักงานศาลยุติธรรมมีโครงการปลูกต้นไม้อย่างต่อเนื่องโดยเบื้องต้นมีแผนจะปลูกต้นพยุงจำนวน 60 ต้น ต้นแคนาและแคนาป่า จำนวน 94 ต้น ต้นลีลาวดี จำนวน 299 ต้น และไม้พุ่มต่างๆ รวมจำนวน 6,400 ต้น แต่เนื่องจากสำนักงานศาลยุติธรรมมีข้อจำกัดในเรื่องกำลังคนและงบประมาณ จึงขอรับการสนับสนุนด้านกำลังคนและงบประมาณ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญ เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ และต้นไม้ จากรัฐบาลเพื่อดำเนินการตามโครงการปลูกต้นไม้ดังกล่าวต่อไป

นายสราวุธยังกล่าวอีกว่า จากกรณีมีที่บุคคลกลุ่มหนึ่งพยายามให้ยุติและรื้อถอนโครงการดังกล่าวนั้น สำนักงานศาลยุติธรรมซึ่งเป็นคู่สัญญาไม่อาจดำเนินการตามข้อเรียกร้องที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ ได้ เนื่องจากหากสำนักงานศาลยุติธรรมยุติโครงการย่อมจะตกเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้องถูกคู่สัญญาฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ซึ่งจะทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณในการชดใช้ค่าเสียหาย 

อีกทั้ง หากสำนักงานศาลยุติธรรมจะดำเนินการรื้อถอนก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้และยังเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย รวมถึงอาจจะต้องถูกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินดำเนินการหาผู้รับผิดชอบตามกฎหมายด้วย

จากข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว สำนักงานศาลยุติธรรมจึงได้นำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.)  ในวันนี้ และมีมติว่า ให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง ชอบธรรมและด้วยสันติวิธี โดยตระหนักถึง การอยู่ร่วมกับธรรมชาติและรักษาสิ่งแวดล้อม และให้มีหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรีถึงข้อเท็จจริงทั้งหมด โดยหากรัฐบาลเห็นสมควรประการใด เช่น ให้ชะลอการใช้บ้านพักเฉพาะส่วนที่มีการคัดค้านไว้ชั่วคราวหรือดำเนินการอื่นในระหว่างฟื้นฟูสภาพแวดล้อม สำนักงานศาลยุติธรรมก็ไม่ขัดข้อง.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ตร.เร่งขยายผลปมอธิการบดี ม.ดัง ถูกหลอกลงทุนเทรดหุ้น

สน.บางซื่อ 12 ก.ย. – อธิการบดีมหาวิทยาลัยชื่อดัง กลายเป็นเหยื่อมิจฉาชีพออนไลน์ ถูกหลอกลงทุนเทรดหุ้น สูญเงินกว่า 38 ล้านบาท ตำรวจนครบาลเร่งสอบสวน อายัดเงินทันกว่า 3 ล้านบาท ขยายผลโยงบัญชีม้ากว่า 20 บัญชี จากกรณีอธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ถูกเครือข่ายมิจฉาชีพหลอกลงทุน เสียหายกว่า 38 ล้านบาท พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 และ พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล เดินทางมาร่วมสอบปากคำผู้เสียหายด้วยตัวเอง ที่สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ ช่วงเที่ยงที่ผ่านมา พล.ต.ต.พัลลภ เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าว พนักงานธนาคารได้ตรวจพบความผิดปกติการถอนเงินจากบัญชีผู้เสียหาย แล้วโอนเงินไปยังบัญชีอื่น 3 บัญชี ซึ่งเป็นบัญชีนิติบุคคล หรือบริษัท เป็นจำนวนเงินกว่า 1 ล้าน 9 แสนบาท จึงได้อายัดไว้ก่อนและติดต่อจากศูนย์ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบไปยังผู้เสียหาย ก่อนทราบว่าผู้เสียหายได้เอาเงินไปลงทุนเทรดหุ้น พร้อมให้ผู้เสียหายตรวจสอบว่า เงินที่โอนไปลงทุนนั้นสามารถถอนออกจากบัญชีในระบบบริษัทได้หรือไม่ ปรากฏว่าผู้เสียหายไม่สามารถถอนเงินได้ เจ้าหน้าที่จึงแน่ใจว่าถูกเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง […]

“เฉลิมชัย” ไขก๊อกหัวหน้าพรรค ปชป. แบบไม่บอกกล่าว

พรรคประชาธิปัตย์ 12 ก.ย.-“เฉลิมชัย” ไขก๊อกจากหัวหน้าพรรค ปชป. แบบไม่บอกกล่าว ด้าน “ชัยชนะ” ยันไม่มีขัดแย้ง ในพรรครักกันดี ไม่มีแพแตก นายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ยื่นหนังสือลาออกจากหัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ว่า ตนก็เพิ่งทราบข่าว โดยไม่ได้มีการบอกกล่าวล่วงหน้ามาก่อน แต่ยืนยันว่าในพรรคไม่ได้มีปัญหาขัดแย้งอะไร รักกันดี ทุกคนแต่การตัดสินใจลาออกครั้งนี้เป็นอย่างไรต้องไปถามนายเฉลิมชัยเอง แต่ยืนยันว่า หัวหน้าพรรคกรรมการบริหารพรรค ทุกคนมีความรักใคร่กันดี และตนเชื่อว่านายเฉลิมชัยก็เป็นคนหนึ่งที่รักพรรคประชาธิปัตย์ และทำงานให้กับพรรคมาโดยตลอด ซึ่งตนก็รู้สึกเสียดายและใจหายซึ่งที่ผ่านมานายเฉลิมชัย ก็ไม่ได้ส่งสัญญาณหรือบอกอะไร สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ จะดำเนินการอย่างไรนั้น นายชัยชนะกล่าวว่า ก็ต้องดำเนินการตามข้อบังคับพรรคและตามกฎหมาย โดยต้องเรียกประชุมวิสามัญ เพื่อนเลือก หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคใหม่เมื่อถามว่าบทบาทของพรรคประชาธิปัตย์หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรนั้น นายชัยชนะกล่าวว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องทำหน้าที่กันต่อไป ส่วนกรรมการบริหารพรรคก็มาเลือกคัดสรรกันใหม่ และหลังจากนี้ต้องรอดูว่าใครจะเข้ามาบริหารพรรค และกำหนดนโยบายทิศทางพรรคอย่างไร แต่ตนก็เป็นสมาชิกพรรคคนหนึ่งที่ยังยืนหยัด อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อถามว่าการที่นายเฉลิมชัย ลาออกตอนนี้ เป็นสัญญาณอะไรหรือไม่เนื่องจาก มีไทม์ไลน์ จะยุบสภา ภายใน สี่ เดือน จะไปสังกัดพรรคอื่นหรือไม่ ได้ชัยชนะกล่าวว่าอย่ามองเช่นนั้น เพราะตนเชื่อว่านายเฉลิมชัย […]

“รมต.สุชาติ​” ตั้งสอบ​เจ้าอาวาสวัดโสธรฯ​ ปม​ทรัพย์สิน-​สีกา

ทำเนียบ 12 ก.ย.- “รมต.สุชาติ​” ตั้งคณะกรรมการสอบ​เจ้าอาวาสวัดโสธรฯ​ ปม​ทรัพย์สิน​-​สีกา​ หลังถูกร้องสะพัดว่อนโซเชียล​ คาด​ไม่เกิน​ 1 สัปดาห์รู้ผล​ ย้ำให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย นายสุชาติ​ ตันเจริญ​ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเปิดเผยว่า​ มีข้อร้องเรียน ถึงพฤติกรรมของเจ้าอาวาส วัดโสธรวรารามวรวิหาร เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติไม่ถูกต้อง เข้าข่ายกระทำความผิดพระธรรมวินัย อีกทั้งยังมีข้อมูลเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ โดยการร้องเรียนเป็นเรื่องทรัพย์สินและเรื่องสีกา ซึ่งเจ้าอาวาสวัดโสธรฯ เป็นเจ้าคณะจังหวัด และเป็นพระสังฆาธิการด้วย ดังนั้นจึงต้องให้ความเป็นธรรม ทั้งกับผู้ร้องและประชาชน รวมถึงตัวเจ้าอาวาสด้วย เพราะหากไม่เป็นความจริงจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ตนจึงได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นประธาน​ ตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบหาข้อเท็จจริงให้ปรากฏ​ โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูง​ รวมถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ​ และให้ผู้ตรวจของสำนักนายกรัฐมนตรีเข้าไปเป็นคณะกรรมการด้วย เพราะไม่ทราบว่าในโลกออนไลน์พูดเพื่อความสนุกสนานหรือไม่ แต่ยอมรับว่าตนก็ได้ยินเรื่องนี้มานาน มีเค้าโครง​ ยืนยันว่า จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และให้ผู้ร้องสบายใจ​ แต่หากเจ้าอาวาสทำผิดก็ต้องแบบว่าไปตามระเบียบกฎหมาย และต้องแจ้งให้สำนักงานพระพุทธศาสนาดำเนินการต่อไป เมื่อถามว่าวางกรอบระยะเวลาการตรวจสอบไว้เท่าใด นายสุชาติ​ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้วาง แต่คาดว่าไม่น่าจะเกิน 1 สัปดาห์ เพราะจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นพื้นที่ของตน ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ และตนก็เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ประชาชนเลือกมาเป็นผู้แทน […]

นายกฯ โต้ข่าวเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา เชื่อปชช.เข้าใจ

เมืองทองธานี 12 ก.ย.- นายกฯ โต้ข่าว เปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา บอก ขอเป็นรัฐบาลอย่างเป็นทางการก่อน ชี้ ขั้นตอนยังมีอีกเยอะ เชื่อประชาชนเข้าใจ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสความชัดเจนในการเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ทำไมข่าวออกไปอย่างนั้นก็ไม่รู้ ไปบิดเบือน เท่าที่ตนดู พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ก็ยังไม่ได้พูดอะไรชัดเจนขนาดนั้น ต้องคำนึงถึงประชาชนคนไทยเป็นหลักก่อนอยู่แล้ว เมื่อถามถึง กระแสการต่อต้านการเปิดด่าน นายกรัฐมนตรีระบุ ขอให้ตนเข้าไปรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการก่อน ตอนนี้เรายังไม่สามารถให้นโยบายอะไรได้ และการกระทำต่างๆ ยังถือว่าอยู่ภายใต้รัฐบาลปัจจุบันอยู่ ยังไม่ใช่รัฐบาลของตน เมื่อถามต่อว่า ท่าทีของ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 และ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ที่คัดค้านการเปิดด่าน เพราะอาจจะเป็นการส่งเสริมบ่อนการพนันและสแกมเมอร์ นายอนุทิน กล่าวว่า เท่าที่ตนทราบไม่ได้อยู่ดี ๆ จะไปเปิดด่านได้เลย เพราะต้องมีการบรรลุข้อตกลงอะไรอีกเยอะแยะ เมื่อปฏิบัติ ซึ่งต้องรอคณะรัฐบาลของตนเข้าปฏิบัติที่อย่างเป็นทางการก่อน ตอนนี้ตนยังไม่สามารถไปสั่งการหรือให้นโยบายอะไรได้ เมื่อถามว่า […]

ข่าวแนะนำ

บ.เรือด่วนเจ้าพระยา แถลงเหตุไฟไหม้เรือด่วน คาดไฟฟ้าลัดวงจร

14 ก.ย. – บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา แถลงการณ์เหตุเพลิงไหม้เรือด่วน มีเรือได้รับความเสียหายหนัก 2 ลำ เสียหายเล็กน้อย 1 ลำ และไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือสูญเสีย คาดสาเหตุจากไฟฟ้าลัดวงจร เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2568 เวลาประมาณ 18.36 น. ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้เรือด่วนที่จอดเรียงติดกัน จำนวน 3 ลำ โดยมีเรือที่ได้รับความเสียหายหนักจำนวน 2 ลำ และได้รับความเสียหายเล็กน้อย 1 ลำ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่เรือได้จอดเลิกงานตามปกติแล้ว บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่า ขณะเกิดเหตุนั้น ไม่มีผู้โดยสารหรือพนักงานอยู่บนเรือ จึงทำให้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือสูญเสียแต่อย่างใด จากการตรวจสอบเบื้องต้น คาดว่าสาเหตุเกิดจากไฟฟ้าที่ต่อจากท่าเรือไปชาร์จแบตเตอรี่ในเรือต้นเพลิงลัดวงจร โดยเรือทั้งหมดได้เข้ามาจอดเลิกงานเวลา 18.15 น. และไม่ได้อยู่ระหว่างให้บริการ เมื่อเกิดเหตุ พนักงานประจำพื้นที่ได้เข้าดับเพลิงเบื้องต้นทันที พร้อมทั้งประสานงานกับเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้าควบคุมสถานการณ์ และสามารถควบคุมเพลิงได้ภายในระยะเวลา 45 นาที ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียดอย่างรอบคอบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยืนยันสาเหตุที่แท้จริง และเพื่อวางมาตรการป้องกันที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในอนาคต บริษัทฯ ขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น […]

เพื่อไทยขอบคุณทุกคะแนนเสียง หลัง “สง่า” คว้าชัยเลือกตั้งซ่อม สส.เชียงราย

กรุงเทพฯ 14 ก.ย. – พรรคเพื่อไทย ขอบคุณทุกคะแนนเสียงจากประชาชน หลังผลเลือกตั้งซ่อม สส. เขต 7 เชียงราย อย่างไม่เป็นทางการ “สง่า” ชนะขาด “สุทัศน์” จากพรรคประชาชน เพจเฟซบุ๊กพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความภายหลังผลการเลือกตั้งซ่อม สส.เชียงราย เขต 7 อย่างไม่เป็นทางการ ปรากฏว่า นายสง่า พรมเมือง ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย หมายเลข 1 ชนะขาดนายสุทัศน์ ยาละ ผู้สมัครของพรรคประชาชน หมายเลข 2 โดยระบุว่า พรรคเพื่อไทย ขอขอบคุณทุกคะแนนเสียงของพี่น้องประชาชน ที่ให้ความไว้วางใจเลือกผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เชียงราย จากพรรคเพื่อไทย ทีมงานทุกคน พร้อมเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างโอกาสให้กับพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่ เพื่อชีวิตที่ดี เพื่อไทยทุกคน.-316-สำนักข่าวไทย

“เพื่อไทย” คว้าชัยเลือกตั้งซ่อม สส. เขต 7 เชียงราย

เชียงราย 14 ก.ย. – ผลคะแนนเลือกตั้ง สส. เขต 7 เชียงราย อย่างไม่เป็นทางการ ณ เวลา 19.39 น. “สง่า พรมเมือง” พรรคเพื่อไทย คะแนนนำโด่งทิ้งคู่แข่ง “สุทัศน์ ยาละ” พรรคประชาชน กว่า 2 หมื่นคะแนน ขณะที่เพจเฟซบุ๊กพรรคเพื่อไทย โพสต์ขอบคุณประชาชนเทคะแนนให้ “สง่า” คว้าชัย วันที่ 14 ก.ย.68 เวลา 19.39 น. ที่ศูนย์รวมคะแนนประจำเขตเลือกตั้งที่ 7 อ.แม่จัน จ.เชียงราย ผู้สื่อข่าวรายงานการเลือกตั้งซ่อม สส.เชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 7 แทนตำแหน่งที่ว่าง ภายหลังปิดหีบลงคะแนนเมื่อเวลา 17.00 น. จากนั้นเริ่มนับคะแนน โดยสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงราย รายงานเมื่อเวลา เวลา 19.39 น. พบว่า นายสง่า พรมเมือง […]

ดีอีเร่งปลดล็อกระงับบัญชีที่ไม่เกี่ยวกับบัญชีม้า

กรุงเทพฯ 14 ก.ย. – ดีอีเร่งปลดล็อกระงับบัญชีธนาคารชั่วคราวให้ประชาชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบัญชีม้า แจงระงับจำนวนเงินเฉพาะที่โอนออกไปจากบัญชีต้องสงสัยเท่านั้น ไม่ได้ระงับทั้งบัญชี ยังคงทำธุรกรรมได้ปกติ ส่วนบัญชีม้าจะไม่ปลดล็อกเด็ดขาด พร้อมแจงการอายัดบัญชีทำได้เฉพาะกรณีที่มีหมายจากตำรวจเท่านั้น ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมการดำเนินมาตรการเพิกถอนการระงับบัญชีธนาคารชั่วคราวในบัญชีที่อาจมีความเกี่ยวข้องกับบัญชีม้าของมิจฉาชีพ ซึ่งเป็นผลมาจากการบังคับใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ เปิดเผยว่า ตามที่มีกรณีประชาชนได้รับผลกระทบจากการระงับบัญชีธนาคารชั่วคราว ซึ่งเป็นมาตรการในการตรวจสอบและปิดกั้นบัญชีม้าของมิจฉาชีพ เพื่อติดตามเส้นทางการเงิน และนำเงินจากการก่ออาชญากรรมออนไลน์ของมิจฉาชีพกลับคืนมาให้กับผู้เสียหาย เป็นกลไกตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ตามมาตรา 6 และมาตรา 7 ซึ่งธนาคารมีหน้าที่ในการระงับการทำธุรกรรมทางการเงินเป็นการชั่วคราว โดยจะมีการระงับจำนวนเงินเฉพาะที่โอนออกไปจากบัญชีต้องสงสัยเท่านั้น ไม่ได้ระงับทั้งบัญชีแต่อย่างใด ซึ่งบัญชีธนาคารนั้นยังคงสามารถทำธุรกรรมได้อยู่ตามปกติ ในส่วนของการอายัดบัญชีเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการอายัดบัญชี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยมีหมายอายัดเท่านั้น ทั้งนี้ […]