หน่วยงานขนส่งเข้มป้องกันอุบัติเหตุสงกรานต์

กรุงเทพฯ  4 เม.ย. – หน่วยงานขนส่งทางบกผนึกกำลัง One Transport  เปิดโครงการ “สงกรานต์วิถีไทย คมนาคมห่วงใย ปลอดภัยทุกการเดินทาง” ยกระดับเข้มข้นทุกมาตรการเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2561 พร้อมดูแลอยู่เคียงข้างเป็นเพื่อนเดินทางตลอด 24 ชั่วโมง


นายธีระพงษ์ รอดประเสริฐ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2561 ซึ่งเป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่าง กรมการขนส่งทางบก และกรมทางหลวง ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีไทย คมนาคมห่วงใย ปลอดภัยทุกการเดินทาง” เพื่ออำนวยความสะดวกและปลอดภัยการเดินทางของประชาชน 

นายธีระพงษ์ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริการและอำนวยความสะดวกด้านระบบคมนาคมขนส่ง เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนทั้งเที่ยวไปและกลับ โดยเฉพาะหน่วยงานซึ่งรับผิดชอบดูแลการเดินทางบนท้องถนน กำหนดมาตรการบริหารจัดการอำนวยความสะดวกการจราจร ตรวจสอบปรับปรุงผิวจราจรและไหล่ทางให้อยู่ในสภาพดีไม่เป็นอุปสรรคที่อาจเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุ พร้อมบูรณาการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมจัดตั้งเต็นท์ One Transport บน 77 สายทางบนโครงข่ายกระทรวงคมนาคม  สำหรับเป็นศูนย์อำนวยความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทางตลอดช่วงสงกรานต์ ด้านบริการขนส่งสาธารณะในส่วนของกรมการขนส่งทางบกให้บริหารจัดการรถโดยสารให้เพียงพอ จัดเตรียมรถโดยสารไม่ประจำทางมาให้บริการเสริมในเส้นทาง เพื่อไม่ให้มีผู้โดยสารตกค้าง โดยต้องได้รับอนุญาตและแสดงหลักฐานการอนุญาตไว้ที่ด้านหน้ารถ และเป็นการวิ่งเสริมในเส้นทางเดิมที่พนักงานขับรถมีความคุ้นชินเส้นทางด้วย


ทั้งนี้ เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบความปลอดภัยในสถานีขนส่งผู้โดยสารทุกแห่งทั่วประเทศ โดยกรมการขนส่งทางบกมีมาตรการเข้มงวดตรวจสอบความปลอดภัยของรถโดยสารประจำทางและรถโดยสารไม่ประจำทางที่นำมาวิ่งเสริมทุกคัน ควบคู่กับการตรวจความพร้อมของพนักงานขับรถและผู้ประจำรถทุกคน ต้องไม่มีสารเสพติด และแอลกอฮอล์ต้องเป็นศูนย์ 100%  หากตรวจพบมีสารเสพติดในร่างกายจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันที  กรณีพบมีแอลกอฮอล์ต้องในลมหายใจ หากตรวจสอบพบก่อนปฏิบัติหน้าที่ให้เปลี่ยนพนักงานขับรถ และกรณีตรวจพบขณะปฏิบัติหน้าที่จะส่งดำเนินคดี ตามกฎหมายทันที พร้อมกำชับให้ผู้ขับรถโดยสาร “ใช้ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนดด้วยการ “ขับช้า” ตลอดเวลาขณะขับรถ ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน “เปิดไฟหน้า” และควบคุมให้ผู้โดยสาร “คาดเข็มขัดนิรภัย” ตลอดการเดินทาง

นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า สำหรับเทศกาลสงกรานต์ 2561 กรมการขนส่งทางบกเข้มทุกมาตรการ เพื่ออำนวยความสะดวกและปลอดภัยแก่ประชาชนตลอดการเดินทาง ตรวจสอบความปลอดภัยตรวจสอบความพร้อมของรถโดยสารสาธารณะและคนขับรถทั่วประเทศเข้มข้น เด็ดขาด จริงจัง ทันที ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารและจุดจอดรถ รวม 212 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่ต้นทาง ระหว่างทาง จนถึงจุดปลายทาง ตามมาตรการเข้มข้น 777 ยกกำลัง 3 ของกระทรวงคมนาคม แบ่งเป็น 7 วันก่อนเทศกาล วันที่ 4-10 เมษายน 2561, 7 วัน ระหว่างเทศกาล วันที่ 11-17 เมษายน 2561 และ 7 วันหลังเทศกาล วันที่ 18-24 เมษายน 2561 หากตรวจพบรถโดยสารสาธารณะคันใดมีสภาพไม่มั่นคงแข็งแรง อาจเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่การขนส่งดำเนินการพ่นข้อความ “ห้ามใช้รถ” ต้องแก้ไขให้เรียบร้อยและนำรถเข้าตรวจสภาพกับกรมการขนส่งทางบกก่อนนำกลับมาให้บริการ 

ด้านพนักงานขับรถต้องมีใบอนุญาตขับรถถูกต้องตรงตามประเภท มีความพร้อมพักผ่อนเพียงพอ ลงบันทึกสมุดประจำรถ สารเสพติดและแอลกอฮอล์ต้องเป็นศูนย์ หากพบชั่วโมงการทำงานเกินที่กฎหมายกำหนด ใช้สารเสพติด ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดำเนินการเด็ดขาด “สั่งห้ามปฏิบัติหน้าที่” พร้อมบังคับใช้กฎหมายลงโทษขั้นสูงสุดในทุกกรณีความผิด ทั้งเปรียบเทียบปรับ พักใช้เพิกถอนใบอนุญาตขับรถ ใบอนุญาตประกอบการขนส่ง ผู้ประกอบการต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วยทุกกรณี สำหรับมาตรการตรวจสอบความปลอดภัยระหว่างทางบนถนนสายหลักและสายรอง ตั้งจุดตรวจความพร้อมรถโดยสารและคนขับ ณ จุดตรวจความพร้อม 11 จังหวัด 14 แห่ง และเพิ่มจุดตรวจ Checkpoint อีก 5 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 16 จังหวัด 19 แห่งทั่วประเทศ พร้อมจัดหน่วยเคลื่อนที่ตรวจจับความเร็วรถโดยสารสาธารณะด้วยกล้องตรวจจับความเร็วด้วยแสงเลเซอร์ และเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมพฤติกรรมพนักงานขับรถผ่านระบบ GPS Tracking แบบออนไลน์ Real-time ผ่านศูนย์ GPS ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมถึงผ่านแอพพลิเคชั่น “DLT GPS” ติดตามรถโดยสารสาธารณะ ตรวจสอบความเร็ว ชั่วโมงการทำงาน รู้พิกัด รู้จุดจอด ร้องเรียนพฤติกรรมเสี่ยงได้ตลอด 24 ชั่วโมง


ด้านนายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยถึงการดำเนินการตามมาตรการ 777 ยกกำลัง 3 ภายใต้ภารกิจของกรมทางหลวง ช่วง 7 วันก่อนเทศกาล ตรวจสอบความพร้อมของเส้นทางในการอำนวยความสะดวกและปลอดภัย 7 วันระหว่างช่วงเทศกาล วิ่งตรวจเส้นทางและตั้งจุดเฝ้าระวังตลอดเส้นทาง ประสานตั้งจุดตรวจความเร็วและตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ เตรียมรถซ่อมบำรุงเคลื่อนที่ปฏิบัติงานบนทางหลวงสายหลักที่เดินทางไปยังภูมิภาคต่าง ๆ รวมทั้งงดเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ส่วน 7 วันหลังเทศกาล ปรับระดับการเฝ้าระวัง รวบรวมและสรุปข้อมูลเพื่อประเมินผล นอกจากนี้  ได้จัดทำแผนที่แนะนำเส้นทางการเดินทางช่วงเทศกาลเพื่อมอบให้ประชาชนใช้ในการวางแผนการเดินทาง รวมถึงประสานงานกับกองบังคับการตำรวจทางหลวง ซึ่งมีจุดให้บริการตำรวจทางหลวง 200 แห่ง ตลอดจนประสานงานกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกปลอดภัยในการเดินทาง พร้อมป้องกันและลดการสูญเสียชีวิต รวมทั้งทรัพย์สินของประชาชน 

ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกยังบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั่วประเทศ อาทิ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจัดนักศึกษาจากวิทยาลัยเทคนิคและวิทยาลัยการอาชีพ ตั้งจุดบริการอำนวยความสะดวกเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน บนถนนสายหลัก 189 จุดทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 11 -17 เมษายน 2561 เพื่อให้ประชาชนเข้าไปนั่งพักผ่อน คลายความเหนื่อยล้า และบริการตรวจสภาพรถเบื้องต้น รวมถึงการบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่ายภาคเอกชนให้บริการตรวจเช็กสภาพรถก่อนเดินทางฟรี ณ สถานบริการที่มีป้ายประชาสัมพันธ์ “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย” ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม – 30 เมษายน 2561 ในส่วนของการเตรียมพร้อมรองรับการเดินทางของประชาชนทั้งเที่ยวไปและเที่ยวกลับ ร่วมกับ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) สมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย (สปข.) และผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะ เพิ่มจุดจอดขึ้นลงรถ ณ กรมการขนส่งทางบก จตุจักร ระหว่างวันที่ 10-12 เมษายน 2561 และวันที่ 16-19 เมษายน 2561 เพื่อลดความแออัดและบรรเทาปัญหาด้านการจราจรบริเวณโดยรอบสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) บริหารจัดการให้บริการรถแท็กซี่ รถจักรยานยนต์สาธารณะ ให้เพียงพอ ภายใต้การควบคุมการให้บริการอย่างเข้มงวด. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ไทยฝนเพิ่มขึ้น ตกหนักบางแห่ง

กทม. 10 ส.ค.-กรมอุตุฯ รายงานไทยฝนเพิ่มขึ้น ตกหนักบางแห่งบริเวณภาคอีสาน ตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก คลื่นลมทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง 60% ของพื้นที่ กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย เนื่องจากมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศลาวตอนบนและประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนจะมีกำลังค่อนข้างแรง โดยทะเลอันดามันตอนบน มีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1 – 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย 06:00 น. วันนี้ ถึง 06:00 น. วันพรุ่งนี้ ภาคเหนือ […]

รฟท.เร่งกู้รถไฟตกรางที่กุยบุรี คาดเสร็จภายในเที่ยงคืนนี้

ประจวบคีรีขันธ์ 9 ส.ค. – รฟท.เร่งกู้รถไฟตกรางที่กุยบุรี คาดเสร็จสิ้นภายในเที่ยงคืนนี้ ด้าน พฐ.ร่วมตรวจหาสาเหตุตกรางกับนายช่างรถไฟ สันนิษฐานเบื้องต้นนอตล็อกประแจสับรางหลุด ส่วนผู้บาดเจ็บ 10 ราย ออกจาก รพ.แล้ว ความคืบหน้าเหตุรถไฟขบวนด่วนพิเศษ สุไหงโก-ลก ปาดังเบซาร์ ปลายทางสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ประสบอุบัติเหตุตกราง ก่อนถึงสถานีรถไฟกุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ประมาณ 100 เมตร เหตุเกิดเมื่อช่วงตี 5 วันนี้ โดยตู้โดยสารที่เกิดเหตุคือ 3 ตู้สุดท้าย 10-12 ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บรวม 10 คน นำส่งโรงพยาบาลกุยบุรี ผู้โดยสารตู้ที่ตกราง เจ้าหน้าที่จัดรถบัสนำส่งต่อไปยังจุดหมายปลายทาง ส่วนตู้โดยสารที่ไม่ตกราง เดินทางต่อจนถึงสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ ล่าสุดตำรวจ สภ.กุยบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ลงพื้นที่ตรวจหาสาเหตุรถไฟตกราง ร่วมกับนายช่างวิศวกรของการรถไฟฯ อีกครั้ง จากการตรวจสอบสันนิษฐานเบื้องต้นคาดว่าเกิดจากนอตยึดอุปกรณ์ประแจตัวสับรางหลุด ขณะที่ขบวนรถไฟวิ่งผ่านไปแล้ว 9 ตู้ เหลือ 3 ตู้สุดท้าย ทำให้ไม่สามารถบังคับให้วิ่งตามไปด้วยกันได้ จึงถูกกระชากหลุดด้วยแรงเฉื่อยของความเร็วรถไฟแล้วตกจากราง หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ […]

“บุ๋ม” รับผ้ายันต์-เหรียญครุฑ หลวงพ่อวราห์ แจกทหารชายแดน

9 ส.ค. – “บุ๋ม ปนัดดา” เริ่มภารกิจโฆษกจิตอาสา ศบ.ทก. วันแรก เข้ารับผ้ายันต์-เหรียญครุฑ จากหลวงพ่อวราห์ นำไปมอบให้ทหารชายแดนไทย-กัมพูชา สร้างขวัญกำลังใจแนวหน้า บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี โฆษกจิตอาสา ศบ.ทก. ที่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ หรือบิ๊กเล็ก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่งตั้ง เข้าพบหลวงพ่อวราห์ พระเทพวชิระวิทยานุสิฐ วราห์ ปุญฺญวโร ตำนานผู้สร้างพญาครุฑ เพื่อรับผ้ายันต์และเหรียญครุฑ ไปแจกให้ทหารตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจทหารแนวหน้า บุ๋ม ปนัดดา กล่าวว่า ได้รับการประสานจากหลวงพ่อวราห์ ให้เข้ามารับผ้ายันต์และเหรียญครุฑ นำไปมอบให้กับทหารชายแดน เพราะทหารต้องการขวัญและกำลังใจ ดังนั้น อะไรที่ทำให้ทหารอุ่นใจและมีกำลังใจก็จะทำให้ สำหรับผ้ายันต์หลวงพ่อวราห์ แห่งวัดโพธิ์ทอง บางมด กรุงเทพฯ ผ้ายันต์รุ่นบูชาครู จำนวน 2,000 ผืน และเหรียญครุฑ รุ่นเฉพาะกิจ จำนวน 2,000 เหรียญ ที่บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี […]

“มาริษ” เผยเห็นภาพชัดขึ้น หลังลงพื้นที่เสียหาย จ.สุรินทร์

สุรินทร์ 9 ส.ค.- “มาริษ” เผยเห็นภาพชัดขึ้น หลังลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ สำรวจความเสียหายจากการโจมตีของกัมพูชา เตรียมใช้เป็นข้อชี้แจงนานาชาติ กัมพูชาใช้อาวุธระยะไกลโจมตีพื้นที่พลเรือน ยันพร้อมประสานให้ ICRC – UN มาดูพื้นที่ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนภายหลังการลงพื้นที่สำรวจความเสียหายที่จังหวัดสุรินทร์ จากเหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา ว่า เรื่องข้อมูลของการละเมิดสิทธิ และละเมิดกฎสหประชาชาติกฎหมายระหว่างประเทศของกัมพูชา เรามีข้อมูลครบถ้วนอยู่แล้ว เมื่อวันนี้ได้มาเห็นสภาพจริง และมาเก็บข้อมูลเพิ่มเติม ได้เห็นภาพนอกเหนือจากข้อมูล ก็เป็นภาพที่เห็นชัดเจน รวมถึงการบรรยายสรุปของผู้ว่าราชการจังหวัด เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ที่อธิบายให้เห็นการโจมตีเป้าหมายที่ห่างไกลออกจากเขตแดน ซึ่งตนเองใช้เป็นข้อชี้แจงกับนานาชาติ และองค์กรสหประชาชาติว่าการใช้ประเภทอาวุธระยะไกลของฝ่ายกัมพูชาจะทำให้เกิดปัญหา และจะทำให้ประชาชนพลเรือนได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งเป็นการโจมตีเป้าหมายไปยังพลเรือน แต่ยังไม่สามารถเข้าไปดูพื้นที่กับระเบิด และวันนี้ทราบว่ามีทหารเหยียบกับระเบิดที่วางอยู่ตามแนวชายแดน โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศชี้แจง และแสดงความผิดหวัง และไม่ปราถนาที่จะเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วงการเจรจา เพื่อแก้ไขปัญหาระหว่างกันให้สำเร็จอย่างยั่งยืน ส่วนนี้เราจะแสดงจุดยืนที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้อาวุธ หรือทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา อย่างชัดเจน นายมาริษ กล่าวว่าการเดินทางมาครั้งนี้ ได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นในสิ่งที่เราเรียกร้องมาโดยตลอด ว่าเราทำตนอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และได้แสดงตนให้ประชาคมโลก […]