กรุงเทพฯ 27 มี.ค. – JFin Coin เลื่อนเทรดตลาดรอง จากเดือนเม.ย.เป็น พ.ค. นี้ รอความชัดเจนพ.ร.ก.คุมเงินดิจิทัล พร้อมหนุนรัฐออกกฎหมายโดยเร็วเพื่อความชัดเจน
นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ JVC เปิดเผยว่า บริษัท เจมาร์ท จำกัด ( มหาชน) ได้เลื่อนการนำเหรียญ JFin Coin วงเงิน 660 ล้านบาท เข้าทำการซื้อขายในตลาดรอง จากวันที่ 2 เมษายน 2561 เป็นวันที่ 2 พฤษภาคม 2561 เนื่องจากรอความชัดเจนเกี่ยวกับพระราชกำหนดควบคุมดูแลธุรกิจทรัพย์สินดิจิทัลทั้งระบบจากภาครัฐ ซึ่งคาดว่าอย่างช้าที่สุดน่าจะชัดเจนในเดือนเมษายน
อย่างไรก็ตาม พระราชกำหนดดังกล่าวไม่กระทบการระดมทุนด้วยการทำ Initial Coin Offering (ICO) ของทางบริษัท เนื่องจากบริษัทได้ระดมทุมเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่เกี่ยวข้องกับการเข้าซื้อขายในตลาดรองเนื่องจากเหรียญ JFin Coin จะเทรดบน Exchange ที่จดทะเบียนในประเทศไทย ดังนั้นเมื่อ พ.ร.ก. มีผลบังคับใช้ Exchange ก็จะต้องเข้ากระบวนการทดสอบตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยมีทั้งหมด 6 Exchange ดังนั้นบริษัทจึงเห็นว่าควรรอกฎหมายให้ชัดเจนก่อน
นายธนวัฒน์ ยังเห็นด้วยกับการที่รัฐบาลออกพระราชกำหนดควบคุมดูแลธุรกิจทรัพย์สินดิจิทัลทั้งระบบ เพราะจะทำให้ไม่คลุมเครือนักลงทุนจะได้สามารถตัดสินใจที่จะลงทุนในเงินดิจิทัลได้ ส่วนเรื่องการเก็บภาษีกำไรร้อยละ15 นั้นก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของนักลงทุน เนื่องจากคาดหวังผลกำไรไม่เท่ากัน
ส่วนการคืบหน้า พัฒนระบบสินเชื่อแบบดิจิตอลที่ไม่มีตัวกลาง (Decentralized Digital Lending Platform หรือ DDLP) คือ ระบบการกู้ยืมเงินแบบดิจิตอลบนเทคโนโลยี Blockchain ที่มีความปลอดภัยสูง ตั้งเป้าระบบจะแล้วเสร็จ พร้อมเริ่มใช้งานในปี 2562
โดยระบบนี้จะช่วยให้ประหยัดต้นทุนและเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นประมาณ10,000รายต่อเดือน จาก5,000รายต่อเดือนโดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบธนาคาร เช่น กลุ่มอาชีพอิสระและ นักศึกษา โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นการจับกลุ่มลูกค้าที่มีเครดิตดี วิเคราะห์จากฐานข้อมูลลูกค้าของกลุ่มเจมาร์ทที่มีรวมกันมากกว่า 3 ล้านราย
นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผย ว่า การออก พ.ร.ก.ดังกล่าว พิจารณาจากหลักการในการควบคุมดูแลการทำธุรกรรมที่เกิดขึ้นใหม่ให้มีความชัดเจน และเป็นธรรม เพื่อดูแลประชาชนไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการลงทุนที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย ด้วยความเป็นธรรมและเหมาะสม ไม่ได้เป็นการปิดกั้นลงทุนของนักลงทุน และไม่ต้องการให้นักลงทุนหันไปลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลใต้ดิน เพราะการออกกฏหมายดังกล่าวเพื่อต้องการให้ทุกอย่างอยู่บนดินและมีความถูกต้องชัดเจนมากที่สุด.-สำนักข่าวไทย