ประกาศพร้อมจ่ายแคชเชียร์เช็ค 2,700
ล้านบาททันที โดยจะบันทึกเป็นรายการพิเศษในงบการเงินไตรมาสแรกปีนี้ ยืนยันไม่กระทบแผนธุรกิจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากศาลแพ่งอ่านคำพิพากษาของศาลฏีกา
โดยพิพากษาให้ บมจ.บ้านปู และบมจ. บ้านปู เพาเวอร์ และบจ.บ้านปู อินเตอร์เนชันแนล
แพ้คดีที่ นายศิวะ งานทวีกับพวก หรือกลุ่มงานทวี 5 ยื่นฟ้องคดีแพ่ง ในคดีใช้ข้อมูลโครงการโรงไฟฟ้าหงสา
โดยพิพากษาให้กลุ่มบ้านปู จ่ายเงินค่าข้อมูลให้กลุ่มงานทวี 5 จำนวน 1,500 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 บาทต่อปี
นับแต่วันฟ้องปี 2550 จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น
โดยจ่ายให้โจทก์ทั้ง 5 คน รวมวงเงินประมาณ 2,700 ล้านบาทนั้น
บ่ายวันนี้(6 มี.ค.) นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการบริษัท
และนางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และนายปรีชญา อิบราฮิม ทนายความ
เปิดแถลงข่าวผลคำตัดสินคดี “โครงการโรงไฟฟ้าหงสา”
นายปรีชญา กล่าวว่า
บริษัทน้อมรับและพร้อมปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลทุกประการ
และขอเน้นย้ำว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบริษัทดำเนินธุรกิจโดยสุจริตทั้งก่อนและหลังการเข้าทำสัญญาร่วมพัฒนาโครงการ
โรงไฟฟ้าหงสาโดยบริษัทไม่ได้ทำผิดสัญญา
นางสมฤดี กล่าวว่า บมจ.บ้านปู บมจ. บ้านปูเพาเวอร์ และบจ. บ้านปูอินเตอร์เนชั่นแนล พร้อมจ่ายเงินค่าข้อมูลตามคำสั่งศาลทันที
แบ่งเป็นค่าข้อมูล โครงการ โรงไฟฟ้าหงสา จำนวน 1,500 ล้านบาท และดอกเบี้ย 7.50 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคมปี 2550 ระยะเวลารวม 10 ปี 8 เดือน
จำนวน 1,200 ล้านบาท รวมเป็นเงินที่ 3 บริษัท จะร่วมกันจ่าย 2,700 ล้านบาท โดยแบ่งจ่ายบริษัทละ
900 ล้านบาทเท่าๆ กัน
ซึ่งจะจ่ายในรูปของแคชเชียร์เช็ค 1
ฉบับไปที่ศาลแพ่งทันที ซึ่งบริษัทมีเงินอยู่แล้ว สามารถจ่ายได้จากเงินฝากธนาคาร
และจะบันทึกเป็นรายจ่ายเป็นรายการพิเศษในงบการเงินไตรมาสที่ 1 ปีนี้
ทั้งนี้กลุ่มบ้านปู ยืนยันว่าการจ่ายเงินครั้งนี้
ไม่ส่งผลกระทบกับแผนงานดำเนินธุรกิจของบริษัทที่ได้พิจารณาในสัปดาห์ที่ผ่านมา
แผนในการดำเนินธุรกิจยังไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจาก กลุ่มบ้านปูมีกระแสเงินสดที่ทำได้ในปีที่ผ่านมารวมกันของ
3 บริษัทสูงถึง 32,000 ล้านบาท และขอยืนยันว่าบริษัทยังมีความแข็งแกร่งสามารถที่จะเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้อย่างโปร่งใส
และจะเดินหน้าพบปะนักลงทุนตามแผนที่วางไว้ต่อไป
นางสมฤดี กล่าวว่าสำหรับคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ให้บริษัทจ่ายเงินค่าข้อมูลจำนวน
1,500 ล้านบาท โดยเป็นคำพิพากษาที่อ้างถึงว่าข้อมูลของโจทก์เป็นข้อมูลที่มีมูลค่า
การที่บริษัทนำข้อมูลมาใช้จะต้องจ่าย สำหรับบริษัทในทางปฏิบัติบริษัทได้เริ่มทำงาน
กับทางฝ่ายโจทก์มาตั้งแต่ก่อนหน้าปี 2550 ซึ่งในการทำงานร่วมกันบริษัทมีความเชื่อด้วยความสุจริตใจว่า
ข้อมูลการพัฒนาและการทำงานร่วมกันนั้นสามารถที่จะมีสิทธิ์ใช้ได้ โดยสุจริตเช่นเดียวกัน
นายชนินท์ กล่าวว่า เป็นเวลานานที่บริษัทและฝ่ายโจทก์มีประเด็นระหว่างกัน
ซึ่งเหตุการณ์วันนี้ ถือเป็นจุดสิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งในรอบ 2- 3 ปีที่ผ่านมา
กลุ่มบริษัทบ้านปูได้พลิกผันกลยุทธ์ และแนวทางในการธุรกิจไปข้างหน้า
โดยสิ้นปีที่ผ่านมามีการปรับวิสัยทัศน์ พันธกิจ ให้ทันสมัยมากขึ้น
ปัจจุบันบริษัทบ้านปูทำธุรกิจอยู่ใน 9 ประเทศ
การที่ดำเนินธุรกิจอยู่ได้และมีผู้ร่วมทุนหลายฝ่าย เป็นสิ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่า
บริษัทมีความสุจริตโปร่งใสพอ–สำนักข่าวไทย