กรุงเทพ ฯ 1 มี.ค. – สมาคมธนาคารไทย เผยการตั้งแบงก์กิ้ง เอเย่น ต้องพิจารณารอบคอบ สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้า ชี้แนวโน้มคนมาสาขาแบงก์น้อยลง มาเพื่อแสดงตัวตนในการเปิดบัญชี เผยจำนวนธุรกรรมผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารและตู้ ATM ลดลง เหลือเพียงร้อยละ 17
นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์แต่งตั้งร้านสะดวกซื้อ เป็นตัวแทนธนาคาร หรือ แบงก์กิ้ง เอเย่น ว่า ขณะนี้แต่ละธนาคารอยู่ในขั้นตอนการศึกษา เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ โดยเฉพาะการบริหารความเสี่ยง ซึ่งหากแบงก์กิ้ง เอเย่น ทำความเสียหายธนาคารก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ อีกทั้งต้องประเมินถึงต้นทุน และ พฤติกรรมของลูกค้า เนื่องจากปัจจุบันก็มีช่องทางการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน แต่แบงก์กิ้ง เอเย่น ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีความจำเป็นต่อลูกค้าบางกลุ่ม บางพื้นที่
ด้านนายอนุชิต อนุชิตานุกูล ประธานสายพัฒนาระบบงาน ช่องทางขายและผลิตภัณฑ์ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าการมี แบงก์กิ้งเอเย่น เป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้การบริการครอบคลุมทุกพื้นที่มากขึ้น ซึ่งขณะนี้รูปแบบสาขาของธนาคารพาณิชย์ มีการเปลี่ยนแปลงไป ลดจำนวนสาขา และ ลดจำนวนพนักงาน และหันมาใช้บริการทางการเงินทางอิเล็กทรอนิคส์ โมบายแบงก์กิ้ง แทน ดังนั้นจากนี้สาขาธนาคารต้องตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม เช่น ลูกค้าเอสเอ็มอี ลูกค้ากลุ่มเวลธ์ หรือ ประชาชนอาจจะมาสาขาเพื่อทำการเปิดบัญชีเท่านั้น เพราะต้องมีการแสดงตัวตน
ขณะที่ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าจำนวนธุรกรรมที่ประชาชนทำผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารและตู้ ATM ลดลงจากประมาณ ร้อยละ41 ของธุรกรรมทั้งหมดในปี 2553 เหลือเพียงร้อยละ 17 ในปัจจุบัน ขณะที่ธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้นจากประมาณร้อยละ 15 เป็นร้อยละ 66 ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยสาเหตุที่ประชาชนหันมาทำธุรกรรมออนไลน์มากขึ้นมี 2 ประการ ได้แก่ หนึ่ง กระแสเทคโนโลยียุค 4.0 ที่ทำให้การใช้โทรศัพท์มือถือ มีมากขึ้น และการนำเสนอบริการพร้อมเพย์หรือการโอนเงินและรับโอนเงินที่ผูกบัญชีเงินฝากธนาคารเข้ากับหมายเลขบัตรประชาชนหรือโทรศัพท์มือถือตามโครงการ National e-Payment ของภาครัฐ ซึ่งช่วยลดค่าธรรมเนียมในการโอนเงิน ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นจำนวนมาก โดยมูลค่าสะสมการทำธุรกรรมโอนเงินผ่านบริการพร้อมเพย์ล่าสุด อยู่ที่ 400,000 ล้านบาท และมีผู้ลงทะเบียนพร้อมเพย์ของบุคคลธรรมดาแล้ว 37 ล้านบัญชี และของนิติบุคคลอีก 45,000 บัญชี .- สำนักข่าวไทย