ตำหนิโกงเงินคนจน เป็นเรื่องจิตสำนึก

ยานนาวา 28 ก.พ.-มูลนิธิอิสรชน ชี้เหตุโกงเงินคนจน เป็นเรื่องจิตสำนึก เผยคนไร้ที่พึ่ง ปี 60 เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ


น.ส.อัจฉรา  สรวารี  เลขานุการมูลนิธิอิสรชน  เปิดเผยว่า  จากการทำงานของมูลนิธิเกี่ยวกับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะหรือคนไร้ที่พึ่ง พบว่า ปี 2560 มีคนไร้ที่พึ่งอาศัยอยู่ในที่สาธารณะของกรุงเทพมหานคร 3,630 คนแบ่งเป็นชาย 2,203 คน หญิง 2,112 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2559 กว่าร้อยละ 10  หรือ 175 ราย โดยในจำนวน 3,630 คน จัดได้ 13 ประเภท สูงสุดเป็นกลุ่มคนเร่ร่อน 994 คน รองลงมาคือผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะชั่วคราว 856 คน ผู้ติดสุรา 840 คน ผู้ป่วยข้างถนน 740 คน พนักงานบริการอิสระ 529 คน  คนไร้บ้าน 495 คน คนจน 413 คน ครอบครัวคนเร่ร่อน 348 คน คนเร่ร่อนไร้บ้าน 346 คน ผู้พ้นโทษ72 คน แรงงานเพื่อนบ้าน 52คนผู้มีความสามารถหลากหลายทางเพศ 22 คนและต่างชาติ 20 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุมากที่สุดสูง โดยเฉพาะในกลุ่มคนเร่ร่อนมีผู้สูงอายุสูงถึงร้อยละ  40  ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พบมากสุดใน เขตพระนคร 624 คน  รองลงมาเขตบางซื่อ 304 คนและเขตจตุจักร 252 คน และพบเสียชีวิตข้างถนน แล้ว 28 ราย


น.ส.อัจฉรา กล่าวต่อว่า ในภาพรวมถือว่าไม่มากหากเทียบกับในอดีต ซึ่งแสดงถึงการจัดการที่เป็นรูปธรรมที่มีมากขึ้น ภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 2557 แต่ที่ยังน่าเป็นห่วงมากที่สุด คือผู้สูงอายุเร่ร่อน ที่ถูกทอดทิ้งมากขึ้น ขณะที่การช่วยเหลือจากรัฐ เช่นเบี้ยผู้สูงอายุ1,000 บาทต่อเดือนถือว่าน้อยมาก ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ  เช่นเดียวกับสวัสดิการรัฐในการช่วยเหลือผู้ยากไร้แบบอื่น ๆ ที่ไม่ได้ช่วยให้พวกเขาอยู่ได้อย่างมีคุณภาพ หนำซ้ำยังถูกเจ้าหน้าที่เองทุจริตเงินสงเคราะห์อย่างที่เป็นข่าวด้วย 


น.ส.อัจฉรา กล่าวด้วยว่า มูลนิธิฯมองว่าเป็นปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้น เกิดจากจิตสำนึกของคนทำงาน ไม่ควรโทษที่กลไกการทำงานเพราะตามหลักการทำงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทำให้ข้าราชการลงมาดูแลคนในท้องถิ่นมากขึ้น เข้าใจปัญหา สามารถช่วยเหลือคนยากไร้ในพื้นที่ได้อย่างแท้จริงและได้รับการช่วยเหลือได้ทัน ท่วงที แต่เนื่องจากทำงานที่ต้องเร่งทำผลงาน เอาปริมาณทำให้เป็นช่องโหว่ในการทุจริต เพราะในภาวะที่เร่งรีบ ทำให้การตรวจสอบถูกละเลย 

จนเกิดการปลอมแปลงเอกสารเพื่อให้ได้ยอดผู้ยากไร้จำนวนมากๆ  ประกอบกับ สวัสดิการและค่าตอบแทนของเจ้าหน้าที่คนทำงาน ที่ต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมงและเป็นลูกจ้างเหมาจ่าย ไม่ตอบโจทย์ ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต  จนเกิดความโลภประกอบกับไม่มีการตรวจสอบที่เพียงพอ จึงกระตุ้นให้เกิดการทุจริต ดังนั้นต้องย้อนกลับมาดูว่ารัฐได้ปลูกจิตสำนึกที่ดี และดูแลเรื่องรายได้สวัสดิการให้กับเจ้าหน้าที่ รวมถึงกระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวดดีมากพอหรือยัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหานี้ขึ้น .-สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

“เหนือ-อีสาน-กลาง” อากาศเย็น ภาคใต้ฝนตกหนัก

กรมอุตุฯ รายงานภาคเหนือ อีสาน และภาคกลาง อากาศเย็นในตอนเช้า มีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ส่วนภาคใต้ฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง