ม.ธรรมศาสตร์20ก.พ.-นักวิจัยชี้สถานการณ์ฝุ่นละอองหมอกควันใน กทม. ไม่ได้รุนแรงเพิ่ม ตรงข้ามลดลง เชื่อสถานการณ์หลังเม.ย. ไปอากาศจะดีขึ้น ขณะเดียวกันไม่พบคน กทม. ป่วยจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก
นายสุพัฒน์ หลังวงศ์วัฒนา อาจารย์ประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวในการเสวนาธรรมศาสตร์ สู่สังคม ครั้งที่ 1 เรื่อง ภัยร้ายฝุ่นกลางเมือง ว่า สถานการ์ฝุ่นละออง PM2.5 ใน กทม.เปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา พบว่าไม่แตกต่าง สถานการณ์ที่พบเจอในขณะนี้มีเกิดขึ้นทุกปี ตั้งแต่ ม.ค.- เม.ย. เพราะสภาพอากาศชื้น ท้องฟ้าอึมครึมมีสีน้ำตาล อากาศไม่ลอยตัว แต่เมื่อพ้นไป อากาศก็จะดีขึ้น และจะพบอีกในปลายปี ช่วง ธ.ค.จากสภาพอากาศชื้น
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบค่าฝุ่นละอองหรือ PM2.5 ไม่ได้มากกว่าทุกปีที่ผ่านมา ตรงข้ามหากแยกตรวจสอบชั้นบรรยากาศและก๊าซพิษต่างๆ ลดลง พบว่าซัลเฟอร์ไนโตรเจนลดลงอย่างชัดเจน ส่วนหนึ่งเพราะจากการปรับมาใช้น้ำมันยูโร 4 ที่มีก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ลดลง จึงไม่ตกวิตกกังวล แต่ก็ไม่อยากให้วางใจเพราะค่า PM 2.5 ยังสูงอยู่ เพราะหาก กทม. ยังมีปริมาณรถยนต์มากขึ้น ก็อาจส่งผลให้ซัลเฟอร์ฯ ต้องสูงขึ้นอยู่ดี แม้จะเปลี่ยนน้ำมัน โดยปัจจุบัน กทม.มีปริมาณรถยนต์ 9.8 ล้านคัน ในอนาคตก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
นายสุพัฒน์ กล่าวด้วยว่า มาตรการลดค่าฝุ่นละอองและหมอกควันต้องทำอย่างต่อเนื่องจึงจะเห็น โดยปัจจัยของการเกิดPM 2.5 มาจากการเผาไหม้ ทั้งโรงงานฟ้า,ถ่านหิน แต่มาจากการคมนาคมมากสุดถึงร้อยละ 50 ดังนั้นนอกจากการปรับเปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ในรถยนต์แล้ว ยังรวมไปถึงเครื่องยนต์ด้วยการเผาขยะ เผาศพ ส่วนมาตรการในระยะสั้นแก้ปัญหา 90 วัน จากนี้ตั้งแต่ ก.พ.-เม.ย.โดย 1.ต้องหยุดมลพิษ 2.ลดแหล่งกำเนิดมลพิษ กำหนดระยะเวลาการใช้รถยนต์ในพื้นที่ชั้นใน กำหนดเวลาเข้า-ออก ของรถบรรทุก รวมถึงรอยต่อ กทม.ด้วยและลดการเผาขยะที่นา พื้นที่กทม.รวมถึงควบคุมการก่อสร้างใน กทม.ให้มีมาตรฐาน
พญ.อรพรรณ โพชนุกูล หัวหน้าหน่วยโรคภูมิแพ้ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า จากการสถานการณ์ PM2.5 ใน กทม.ไม่ได้ทำให้ยอดผู้ป่วยหอบหืดเพิ่มขึ้น โดยไม่พบอาการป่วย ด้วยการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง ที่อาจเกิดจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก ตรงกันข้ามกลับพบการป่วยจากภาวะทางเดินหายใจส่วนบน แสดงว่าเกิดจากฝุ่นขนาดใหญ่ ไม่ได้เกิดจาก PM2.5 แต่ว่าอาการป่วยของประชากรในภาคเหนือ มากกว่า และเกิดจาก PM2.5. เพราะจากสภาพอากาศชื้นจากหมอกควัน
อย่างไรก็ตามไม่อยากให้ประชาชนวิตก แต่หากออกจากบ้านไปพื้นที่เสี่ยงที่มีหมอกควัน จราจรติดขัดก็สวมหน้ากากเอ็น 95 ขณะเดียวในช่วงระยะอันใกล้นี้ไม่แนะนำให้มีการออกกำลังกายกลางแจ้ง เช่น วิ่งมาราธอนบนท้องถนน เพราะจะทำให้ร่างกายหอบเหนื่อย หายใจได้รับฝุ่นควันเข้าไปมากขึ้นและควรมีการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือทุกครั้ง ที่ออกไปในพื้นที่เสี่ยง
ส่วนการติดตั้งเครื่องกรองอากาศนั้น ไม่มีความจำเป็น เพราะไม่สามารถกรอง ฝุ่นนอกบ้าน ที่มีขนาดเล็ก ลอยอยู่ในอากาศ ตรงข้ามกับกรองได้แค่ ขนสัตว์ ละอองเกสรดอกไม้เท่านั้น
รศ.นันทวรรณ วิจิตรวาทการ นักวิจัยผู้เชี่ยวขาญด้านฝุ่นและผลกระทบ คณบดีวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า จากการ ศึกษาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM 10) พบว่าทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3 ก่อให้เกิดอาการไอเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 ส่วนคนที่ป่วยหอบหืดจะทำให้เกิดอาการกำเริบ ร้อยละ 3 ทำให้ป่วยต้องเข้า รพ.เพิ่มขึ้น ร้อยละ1.8-1.9 ส่งผลให้สูญเสียรายได้ 35-88 พันล้านบาท และยังส่งผลให้เกิดอัตราการต่อสุขภาพในคนธรรมดา อัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.3 หรือประมาณ 10,000 คนต่อปี อย่างไรก็ตามเรียกร้องให้มีการปรับเกณฑ์มาตรฐานวัดค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ให้เหมือน กับองค์การอนามัยโลกที่ กำหนดเป็นวงรอบการวัด 24 ชั่วโมงต้องไม่เกิน 25 ไมโครกรัม ต่อลูกบาศ์กเมตร .-สำนักข่าวไทย
