กรุงเทพฯ 2 ก.พ. – รองนายกรัฐมนตรีเศรษฐกิจยืนยันรัฐบาลพร้อมปลดล็อคให้การรถไฟฯ รับพนักงานเพิ่ม เพื่อขยายศักยภาพองค์กร รองรับการขยายงานระบบรางของประเทศ รวมถึงการปรับขึ้นค่าโดยสาร เมื่อบริการมีคุณภาพแล้ว
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการการกระทรวงการคลัง เดินทางมอบนโยบาย คณะกรรมการและผู้บริหาร การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยย้ำถึงการเร่งพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรนำขับเคลื่อนงานระบบรางของประเทศ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และท่องเที่ยวของรัฐบาล
ขณะเดียวกันรัฐบาลพร้อมช่วยเหลือ รฟท.เพื่อปฏิรูปองค์กร โดยเดือนกุมภาพันธ์นี้จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะร่วมรับฟังแนวทางที่จะช่วยเหลือพลิกฟื้นองค์กรครอบคลุมการปลดล็อคมติ ครม.ตั้งแต่ปี 2541 ที่จำกัดการรับพนักงาน โดยจะมีมติ ครม.แก้ไขให้ รฟท.รับพนักงานเพิ่มได้อีกประมาณ 5,000 คน แบ่งเป็นการรับหลังโครงการรถไฟทางคู่เฟส 1 เสร็จ 2,000 คน และเฟส 2 อีก 3,000 คน จากปัจจุบัน รฟท.มีพนักงาน 14,000 คน โดยเป็นพนักงานในส่วนการเดินรถและซ่อมบำรุงทาง
ส่วนการปรับขึ้นค่าโดยสาร เพื่อลดปัญหาการขาดทุน เนื่องจากการรถไฟเก็บค่าโดยสารต่ำกว่าต้นทุนนั้นนายสมคิด กล่าวว่า สามารถดำเนินการได้ แต่จะต้องเป็นช่วงหลังจาก รฟท.ปรับคุณภาพบริการให้ดีขึ้น โดยจะเป็นหลังจากการเปิดรถไฟทางคู่เฟสใหม่และจัดซื้อขบวนรถใหม่เสร็จ
สำหรับการพัฒนารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คือ ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา หลังจากคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานรองรับไปเมื่อวานที่ผ่านมา โดยปีนี้จะมีการเร่งรัดการประกวดราคา เพื่อนำเอกชนเข้าร่วมลงทุน ซึ่งจะมีการควบรวมกับโครงการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ในปัจจุบัน เพื่อให้โครงสร้างแอร์พอร์ตลิ้งค์รวมอยู่ในโครงการของเอกชน ส่วนพนักงานแอร์พอร์ตลิ้งจะโอนย้ายไปปฏิบัติงานในโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง โดยเอกชนที่ชนะประมูลโครงการจะได้สิทธิ์บริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ภายในสถานีพื้นที่มักกะสันและศรีราชาด้วย
ขณะที่ล่าสุดนายอาคม ยืนยันด้วยว่าโครงการรถไฟความเร็วสูงความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่จะยังเป็นโครงการรถไฟความเร็วสูงเช่นเดิม. – สำนักข่าวไทย